InnovestX Offshore Stock Update

Tags: CRWD, WMT, HD, PG, MSFT, KO, PEP, 9988, AAPL, NVDA, WFC, C, BAC, JPM, GOOG, AMZN, SNOW, CRM, TSLA, ORCL, META
13/03/2024 Oracle (ORCL.US) ผลประกอบการแกร่ง... RPO เติบโตสะท้อนอุปสงค์คลาวด์แกร่ง
  • Oracle เผยงบ F3Q24 ดีกว่าคาดในภาพรวม โดยรายได้เพิ่มขึ้น 7.1%YoY และกำไรโต 15.6%YoY หนุนจากอุปสงค์คลาวด์ที่แกร่งและมีรายได้ที่เติบโตดีกว่าคาด 25%YoY หลัง 1) มีการทำสัญญาในโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ใหม่ซึ่งมีมูลค่ามาก 2) การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของบริษัททั้งการเข้าซื้อ Cerner และการปรับปรุงซอฟต์แวร์รุ่นเก่าให้ทันสมัย ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าและรายได้ให้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งภาพนี้ช่วยเชยเชยแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงของบริษัทใหญ่อย่าง Amazon, Microsoft และ Google และเศรษฐกิจที่ตึงตัวซึ่งกดดันบริษัทได้
  • ในปี 24 เราเชื่อว่า ORCL ยังคงมีภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องสะท้อนได้จาก 1) RPO ในไตรมาสปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นดีกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในส่วนคลาวด์สะท้อนได้ว่างานที่มีอยู่ในมือและอุปสงค์ของคลาวด์ยังคงแกร่ง 2) คาดการณ์ของบริษัทที่ดีกว่าตลาดคาด โดยมองในไตรมาสปัจจุบัน (F4Q24) รายได้รวมโต 5%YoY หนุนจากรายได้ระบบคลาวด์ (ไม่รวม Cerner) ที่ยังเติบโตแกร่ง 23%YoY ซึ่งมองว่าจะช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าตลาดคาดได้ทั้งในไตรมาสนี้และ FY25 3) เราคาดว่าค่าใช้จ่าย IT ยังฟื้นตัวต่อเนื่องอานิสงค์จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นใน 2H24 เนื่องจาก FED มีการลดดอกเบี้ยลง
  • ในระยะยาว ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากการแข่งขันในอุตฯที่เพิ่มขึ้น แต่เรามองว่า ORCL ยังคงน่าสนใจหลัง 1) เป็นผู้นำในตลาดโปรแกรมฐานข้อมูลและวางแผนองค์กร ประกอบกับการได้เปรียบจาก High Switching cost 2) รูปแบบการสร้างรายได้มีความหลากหลาย รวมถึงมีการลงทุนในการพัฒนาเทคฯซอฟต์แวร์ต่อเนื่อง 3) งบดุลดีโดยพิจารณาจากเงินสดที่เพียงพอและหนี้ที่จัดการได้
  • ในระยะสั้น ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงตอบรับผลประกอบการและคาดการณ์ที่ออกมาดี แต่อย่างไรก็ดีหากพิจารณา Valuation โดย PE ปัจจุบันอยู่ที่ 20.4 ถือได้ว่ายังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับระดับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 30.0 ประกอบกับหากพิจารณาที่ปัจจัยพื้นฐานที่ดีและภาพการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 24 ทำให้เราแนะทยอยสะสมในช่วงที่ราคาย่อตัวลงเพื่อคาดหวัง Upside ในระยะถัดไป
06/03/2024 CrowdStrike (CRWD.US)  ผลประกอบการแกร่ง...แนวโน้มระยะถัดไปเติบโต
  • ภาพรวมเรามองว่างบที่ออกมาในทิศทางที่ดี โดย 1) รายได้เติบโต 32.5%YoY และมีกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 1x YoY ใน F4Q24 2) อัตรากำไรขั้นต้นของการ subscription ใน FY24 ดีกว่าคาดและเติบโตจากปีก่อนโดยอยู่ที่ 78% 3) ARR เติบโตแกร่งสะท้อนได้ว่าแนวโน้มอุปสงค์ของลูกค้าในระยะถัดไปยังคงเติบโต 4) ให้คาดการณ์งบใน F1Q25 ดีกว่าคาดโดยมองกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.89-0.9$ ต่อหุ้น และมองรายได้โต 36%YoY โดยในภาพรวมงบและแนวโน้มมีแรงหนุนมาจากการเน้นการบูรณาการผลิตภัณฑ์ Cybersecurity เช่น threat detection, endpoint protection ไว้บนแพลตฟอร์มเดียวและมีการทำงานแบบครบวงจร ซึ่งทำให้มีความง่ายต่อการใช้งานหนุนอุปสงค์ผู้บริโภคและส่วนแบ่งการตลาด Cybersecurity เพิ่มขึ้นสวนทางคู่แข่งอย่าง Palo Alto Networks ที่ปรับลดคาดการณ์ลง
  • ขณะที่ในระยะถัด ถึงแม้บริษัทจะมีแรงกดดันจากปัจจัยมหภาค เช่น เศรษฐกิจชะลอตัวที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายขององค์กร ประกอบกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งใหม่ๆ เช่น Microsoft แต่อย่างไรก็ดีเรายังคงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้หนุนจาก 1) ธุรกิจ Endpoint Security ซึ่งเป็นแรงหนุนหลักยังคงมีความต้องการที่แกร่งและมีประสิทธิภาพในการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและกลาง แม้คู่แข่งอย่าง Defender ของ Microsoft จะมีการปรับปรุงใหม่ แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพ Falcon ของ CrowdStrike ยังโดดเด่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน 2) อุสงค์การใช้ AI ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนการใช้งานผลิตภัณฑ์ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัย (SOC) ที่พัฒนาร่วมกับ Gen AI 3) การปรับเพิ่มคาดการณ์ และการเติบโตของ ARR ในไตรมาสที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความคาดหวังต่อการเติบโตที่ดี 4) แนวโน้มการออกสินค้าใหม่และการเข้าซื้อกิจการ Flow Security ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านโซลูชันความปลอดภัยรันไทม์ข้อมูลบนคลาวด์ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอของ CrowdStrike ด้วยการเพิ่มความสามารถของ Cybersecurity ได้
29/02/2024 CRM vs SNOW ภาพผลประกอบการของ Snowflake (SNOW) และ Salesforce (CRM)
  • ภาพรวมงบช่วง 4Q24 ของ Snowflake (SNOW) และ Salesforce (CRM) ออกมาดีกว่าคาดในทิศทางเดียวกัน โดย SNOW มีรายได้โต 32%YoY และกำไรดีกว่าคาดที่ 35cents ต่อหุ้น ด้าน CRM มีรายได้เพิ่มขึ้น 11%YoY และกำไรดีกว่าคาดอยู่ที่ $2.29 ด้านมาร์จิ้นยังคงเติบโตได้และอยู่ในระดับสูง โดย SNOW อยู่ที่ 75% และ CRM อยู่ที่ 81%
  • เรามองว่างบทั้งสองบริษัทมีแรงหนุนจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่ออกมาดี โดย 1) Salesforce : รายได้จากการใช้แพลฟอร์มคลาวด์สูงขึ้นโดยเฉพาะจากลูกค้ารายใหญ่อย่าง Amazon Microsoft นอกจากนี้ส่วน Integration and Analytics แกร่งเช่นกัน 2) SNOW: ฐานลูกค้า รายได้จากผลิตภัณฑ์ และ RPO ยังคงเติบโตดีสะท้อนได้ว่าลูกค้ามีการใช้แพลตฟอร์มคลาวด์ข้อมูลของบริษัทต่อเนื่อง
  • อย่างไรก็ดีถึงแม้งบใน 4Q23 จะดีกว่าคาด แต่คาดการณ์ที่ทั้งสองบริษัทให้ออกมาต่ำกว่าคาดและการเติบโตที่ชะลอตัวในทิศทางเดียวกัน โดย 1) Salesforce มองรายได้จะเติบโตราว 9% สำหรับ FY25 ซึ่งเป็นการเติบโตที่ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงมองรายได้จาก Cloud data analytics ต่ำกว่าคาดด้วยเช่นกัน 2) SNOW มองรายได้จากผลิตภัณฑ์เติบโตอยู่ที่ราว 26%-27% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง ภาพคาดการณ์ทั้งสองบริษัทสะท้อนได้ถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายด้าน IT ของลูกค้าซึ่งมีภาพที่ลดลง
21/02/2024 WMT vs HD ภาพผลประกอบการของ Walmart (WMT) และ Home Depot (HD)
  • ภาพรวมงบช่วง 4Q24 ของ Walmart (WMT) ออกมาดีกว่าคาด โดยยอดขายจากสาขาเดิมแบบไม่รวมเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 4% สวนทาง Home Depot (HD) ที่ยอดขายสาขาเดิมลดลง 3.5% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันแต่ถือว่ายังดีกว่าคาด
  • ทั้งสองบริษัทค้าปลีกมีแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทำให้ภาพงบออกมาสวนทางกันเป็นผลมาจากสินค้าของ WMT มีสัดส่วนอยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่ม แชมพู มากกว่าซึ่งยังคงมีแรงซื้อที่ยืดหยุ่นและแกร่งแม้ว่าราคาขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างจาก Home Depot ที่มีสัดส่วนในกลุ่มสินค้าไม่จำเป็นจำพวกวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้านที่มีแรงกดดันจากอัตราการจำนองที่สูงจนทำให้ความต้องการปรับปรุงบ้านลดลงและมีการชะลอการก่อสร้าง
  • ขณะที่แนวโน้มในระยะถัดไปดูเหมือน WMT จะมีภาพการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยบริษัทให้คาดการณ์เป็นไปตามคาดและมองยอดขายใน 1Q24 เติบโต 3%-4% ซึ่งถือว่าชะลอตัวลงจาก 5.7% ในช่วงก่อนหน้า ขณะที่กำไรต่อหุ้นมองอยู่ที่ $6.70-$7.12 สวนทาง Home Depot ที่คาดการณ์การเติบโตของยอดขายมีภาพการฟื้นตัว แต่ถือว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่าคาดและยังคงหดตัว โดยบริษัทมองยอดขายจากสาขาเดิมในปี 24 จะลดลง 1%
12/02/2024 KO vs PEP ภาพผลประกอบการของ Coca-Cola (KO) และ PepsiCo (PEP)
  • ภาพรวมงบช่วง 4Q23 ของ Coca-Cola (KO) ดีกว่าคาดและยอดขายในส่วนเครื่องดื่มยังเติบโต 6.4%YoY เนื่องจากได้รับประโยชน์จากราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นและความต้องการน้ำผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลัง และโซดาที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นภาพที่สวนทางกับ PepsiCo (PEP) ที่งบออกมาผิดคาดและมียอดขายลดลง -2.4% ซึ่งภือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 14 ไตรมาส ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของ KO อยู่ที่ 57.8 ซึ่งถือว่ามีภาพที่ดีกว่า PEP ที่ระดับ 53.5
  • นอกจากนี้ แม้ว่าใน 4Q23 ที่ผ่านมา KO จะขึ้นราคาราว 9% ซึ่งสูงกว่าตลาดคาด แต่ผู้บริโภคที่รับประทานอาหารนอกบ้าน เช่น ภาพยนตร์และกีฬา ก็ยังเต็มใจที่จะจ่ายเงินทำให้ปริมาณการขายต่อหน่วยเพิ่มขึ้นราว 2% ซึ่งเป็นภาพที่สวนทางกับคู่แข่งอย่าง PEP ที่มีปริมาณการขายลดลง 4%
  • อย่างไรก็ตาม ภาพการคาดการณ์ของทั้งสองบริษัทเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสะท้อนได้ว่าการปรับขึ้นราคาจะเริ่มลดลงในระยะถัดไปซึ่งภาพนี้จะทำให้อัตราการเติบโตชะลอตัวลงหลังพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 รวมถึงบริษัทได้ใช้เวลาหลายไตรมาสในการส่งต่อต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นให้กับลูกค้าซึ่งจะเห็นได้จากราคาสินค้าซึ่งสะท้อนให้เห็นในการลดอัตราเงินเฟ้อในธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดย KO คาดว่ารายได้ปกติในปี 24 จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 6%-7% เทียบกับการเพิ่มขึ้น 12% ในปี 23 แต่ถือว่าดีกว่าคาดการณ์ PEP ที่มองรายรับออร์แกนิกจะเพิ่มขึ้นราว 4%
08/02/2024 Alibaba (9988) ภาพการแข่งขันในอุตฯยังคงเป็นความกังวลหลัก....งบผิดคาดและหดตัว
  • Alibaba เผยงบผิดคาด โดยรายได้ออกมาต่ำกว่าคาดและเติบโตเล็กน้อย 5%YoY ขณะที่กำไรลดลงราว 77%YoY ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการประเมินมูลค่าจากการลงทุนในตราสารทุนและการด้อยค่าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต Sun Art และออนไลน์ รวมถึงบริการสตรีมมิ่งวิดีโอ Youku
มุมมองของ InnovestX
  • จากภาพงบ 4Q23 เรามองว่า 1) การแข่งขันในจีนโดยเฉพาะกลุ่มคอมเมิซยังคงรุนแรง โดย Alibaba เสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่งที่มีการขายสินค้าราคาถูกกว่าอย่าง PDD และ ByteDance ซี่งเรามองว่าธุรกิจนี้เริ่มเข้าสู่ในจุด Red Ocean ที่ต้องลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายจึงทำให้การขยายตัวของมาร์จิ้นค่อนข้างจำกัด โดย EBITDA ขยายตัวเพียง 1% เท่านั้น 2) ถึงแม้บริษัทจะมีการประกาศซื้อหุ้นคืนแต่เรามองว่าด้วยความเชื่อมั่นในปัจจุบันที่ค่อนข้างต่ำส่งผลให้แผนการดำเนินงานดังกล่าวอาจไม่เห็นผลและเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยใช่เหตุ 3) มีการพิจารณาออกจากธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักอย่างธุรกิจค้าปลีกที่มีภาพการแข่งขันที่สูงและทำกำไรได้น้อย อย่างไรก็ดีการออกจากธุรกิจต้องใช้ระยะเวลาในระดับนึงซึ่งหากมีการทำจริงคาดว่าจะเห็นผลได้ในช่วง 2-3 ไตรมาสถัดไป 4) ภาพธุรกิจในต่างประเทศยังดีและมีผลการดำเนินงานที่แกร่ง โดยคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นราว 60% ซึ่งเป็นจุด Bright Spot ที่จะทำให้บริษัทเพิ่มการเจาะตลาดในต่างประเทศได้
  • ถึงแม้ในระยะยาว Alibaba จะยังมีความโดดเด่นจาก 1) แพลตฟอร์ม E-commerce ขนาดใหญ่ในจีนหากเทียบด้วย Gross Merchandise Volume 2) มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ รวมถึงมีอัตราการกลับมาใช้งานอีก (Retention Rate) กว่า 90% 3) ธุรกิจมีความหลากหลายในหลายกลุ่มอุตฯ เช่น ธุรกิจคลาวด์ โลจิสติกส์ E-commerce ฯลฯ 4) ฐานะทางการเงินและ Balance sheet แกร่ง
  • แต่อย่างไรก็ดี 1) เรามองว่าสิ่งที่กดดันในภาพใหญ่ของ Alibaba คือการแข่งขันในอุตฯที่รุนแรงโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจคอมเมิซซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยเราประเมินว่าปัจจัยเสี่ยงนี้จะกดดันบริษัทเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งภาพนี้ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนระยะยาวของบริษัทสูญหายไป 2) ภาพการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานของ Alibaba ยังคงมีความไม่ชัดเจนในภาพรวม ทำให้เรามองว่าแนวโน้มผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันอาจจะสอดคล้องไปกับภาพมูลค่าหุ้นในปัจจุบัน
  • ด้วยภาพนี้ทำให้เรามองว่ากลยุทธ์การลงทุนสำหรับ Alibaba คือ 1) สำหรับใครที่มีหุ้น เราแนะติดตามทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังที่ต้องติดตามว่าแผนการปรับโครงสร้างองค์กรจะเห็นผลได้หรือไม่ ซึ่งหากว่าราคามีการฟื้นตัวในช่วงนั้นเราแนะหาจังหวะขายออกเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตและหันไปเล่นหุ้นตัวอื่นที่ให้ Risk Reward ที่น่าจะคุ้มค่ากว่า Alibaba 2) สำหรับใครที่ไม่มีหุ้น เรามองว่าการฟื้นตัวของ Alibaba ยังคงมีความไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทำให้เราแนะมอง Peers อย่าง AMZN ที่เริ่มมุ่งไปที่ธุรกิจที่ทำกำไรและมีภาพการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ รวมถึง PDD ที่ธุรกิจยังคงมีการขยายตัวได้มากกว่า ด้าน Bloomberg ให้ราคาเป้าหมาย Alibaba ไว้ที่ 108.6HKD ซึ่งมี Upside 45% จากราคาปัจจุบัน
31/01/2024 MSFT vs GOOGL ภาพผลประกอบการของ Microsoft (MSFT) และ Alphabet (GOOGL)
  • ภาพรวมงบช่วง 4Q23 ทั้งสองบริษัทถือได้ว่าดีกว่าคาดการณ์ตลาด โดยรายได้ของ MSFT เติบโต 17.6%YoY ซึ่งดีกว่าคาดและเร็วกว่า GOOGL ที่โต 13.5%YoY
  • ในส่วนของกำไร เรามองว่า GOOGL มีภาพที่ดีกว่า MSFT หลัง 1) กำไรต่อหุ้นเติบโตดีกว่า โดย MSFT +9.1% GOOGL +51.8% 2) Gross Margin ของ GOOGL เพิ่มขึ้นดี +5.5% เทียบกับ MSFT ที่เติบโตเพียง 2.3% อย่างไรก็ดี แนวโน้มในระยะถัดไปถือว่ามีภาพการหดตัวที่คล้ายกันซึ่งเรามองว่าเป็นผลมาจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
  • ค่าใช้จ่ายของ MSFT ใน 4Q23 เพิ่มขึ้นมากกว่า GOOGL และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วกว่าต่อเนื่องไปอีก 2 ไตรมาส อย่างไรก็ดีหากเทียบกับรายได้ถือได้ว่า MSFT มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่น้อยกว่า GOOGL
  • หากเปรียบเทียบในเชิงธุรกิจ 1) Cloud ถือได้ว่าการเติบโตของ GOOGL ดีกว่า MSFT เล็กน้อยแต่อย่างไรก็ดี MSFT ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจนี้เยอะกว่า โดยการเติบโตของ GOOGL อยู่ที่ +25.6% และ MSFT +20.3% 2) รายได้โฆษณาในกลุ่มธุรกิจ Search Engine ถือได้ว่า GOOGL ยังคงได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าและส่วนแบ่งการตลาดที่ดีกว่าทำให้มีการเติบโตที่มากกว่า MSFT ในส่วนนี้ โดย GOOGL +3% และ MSFT -0.1%
24/01/2024 Procter & Gamble (PG.US)  มาร์จิ้นดีจากการเพิ่มราคา....แต่อุปสงค์ยังคงทรงตัว
  • P&G เผยงบ F2Q24 โดยกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นดีกว่าคาดอยู่ที่ 1.84$ ด้านรายได้โต 3.2%YoY แต่ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย นอกจากนี้ปรับลดประมาณการกำไรปี FY24 ลง โดยคาดว่าจะอยู่ในช่วง -1% ไปจนถึงระดับทรงตัวจาก FY23 เทียบกับคาดการณ์ก่อนที่มองเติบโต 6%-9%
มุมมองของ InnovestX
  • เรามองว่าตลาดตอบสนองเชิงบวกต่อกำไรต่อหุ้นที่ดีกว่าคาดหลังมีแรงหนุนจากความต้องการส่วน grooming และ home care ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 4% อย่างไรก็ดีอุปสงค์ถือว่ายังคงทรงตัวโดยปริมาณการขายอยู่ที่ระดับใกล้เคียงเดิม
  • ในช่วงงบที่เหลือของปี 24 หรือในช่วงงบ F2H24 ถึงแม้ต้นทุนสินค้าจะเริ่มชะลอตัวลง แต่เรามองว่า P&G ยังคงมีแรงกดดันจาก 1) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าในช่วงครึ่งปีแรกปี 24 หากว่า Fed มีการปรับดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด 2) การปรับขึ้นราคาที่เริ่มจำกัดหลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการปรับเพิ่มราคาขายขึ้นมามาก ทำให้การเพิ่มขึ้นของกำไรได้รับประโยชน์จากภาพนี้น้อยลง 3) ค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เพิ่มขึ้นจากมูลค่าทางบัญชีของธุรกิจ Gillette ที่ลดลง เนื่องจากการเติบโตของปริมาณชะลอตัวและการปรับโครงสร้างตลาดบางแห่ง ส่งผลให้มีแนวโน้มบันทึกค่าใช้จ่ายสูงถึง $2.5bn ในช่วงสองปีงบประมาณข้างหน้า (FY24-FY25)
  • ด้วยภาพนี้ทำให้เรามองว่าการเติบโตของบริษัทในระยะถัดไปจะขึ้นอยู่กับภาพอุปสงค์เป็นสำคัญ ซึ่งเรามองว่าในระยะสั้นยังคงมีความเสี่ยงหลังแนวโน้มการจับจ่ายของผู้บริโภคยังคงมีแรงกดดันจากภาพเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรก 24 ซึ่งหากว่าราคามีการปรับลงจากประเด็นนี้เรามองว่าจะเป็นโอกาสในการลงทุนระยะกลาง-ยาวที่ดีหลังมีผลการดำเนินงานค่อนข้างสม่ำเสมอ ประกอบกับให้เงินปันผลในระดับ 2%-3% พร้อมมองเป็นหุ้นที่ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตได้ดี อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งการตลาดที่สูงขึ้น ขณะที่ในปัจจุบัน เรามองว่าราคาหุ้นถือว่าปรับตัวขึ้นมาสูงรับประเด็นผลประกอบการ จนทำให้ Valuation ใกล้เคียงระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี โดย PE อยู่ที่ระดับ 24.0 เท่า เราจึงแนะสะสมในช่วงที่ราคาย่อตัวพร้อมคาดหวังการฟื้นตัวของอุปสงค์ที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นได้หากธนาคารกลางมีการปรับเปลี่ยนโยบายการเงิน รวมถึงค่าเงินดอลฯจะมีการอ่อนค่าลงส่งผลดีต่อธุรกิจในต่างประเทศ ด้าน Bloomberg ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 164.6USD ซึ่งมี Upside 6.9% จากราคาปัจจุบัน
22/01/2024 What to do - Magnificent 7 บทสรุป
  • ราคาหุ้นของกลุ่ม Magnificent 7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ สาเหตุของการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ 1) แนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ความน่าจะเป็นในการลดดอกเบี้ยมีสูงในปี 2024 2) ความต้องการและกระแสสินค้า AI ยังดีอย่างต่อเนื่องจากการออกสินค้าใหม่ และ 3) ผลประกอบการของกลุ่ม Semiconductor และสินค้าเทคโนโลยีอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว
  • ดังนั้นการลงในกลุ่มนี้ต้องกลับมาเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานการเติบโตเป็นสำคัญ การเติบโตระดับ 62% ใน 4Q23 และเพิ่มขึ้น 38% ในปี 2024 จะยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาของกลุ่ม Magnificent 7 ต่อเนื่อง ทั้งนี้ในภาพรวมยังมีแนวโน้มดีกว่าตลาดสหรัฐที่ไม่รวม Magnificent 7 ในทุกมิติในเชิงปัจจัยพื้นฐาน
  • แต่ Valuation ที่สูงแม้ว่าจะถูกสนับสนุนด้วยกำไรที่เติบโตดีสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนไปแล้วระดับหนึ่งซึ่งจะทำให้ความผันผวนด้านลบเพิ่มขึ้น มองว่าจุดกลับตัวของ Magnificent 7 คือแนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งจะทำให้ Premium ของ Valuation ลดลงหรือถูก De-rate
  • สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ชอบ MSFT และ AMZN หาจังหวะซื้อ TSLA GOOG NVDA แต่หลีกเลี่ยง META และ AAPL
  • 1) เราชอบ MSFT และ AMZN สามารถลงทุนในระยะสั้นถึงยาวได้การเติบโตดี 2) รอจังหวะในการซื้อ TSLA ที่ US$200 สะท้อนการแข่งขันด้านราคาไประดับหนึ่ง การฟื้นตัวจะเริ่มชัดเจน 2Q24 3) GOOG สามารถทำ DCA ปัจจัยพื้นฐานดีแต่รอการออกสินค้าที่เกี่ยวข้อง AI มากขึ้น ซึ่งคาดว่าปี 2024 จะชัดเจน 4) NVDA ผลประกอบการดีได้ประโยชน์จาก AI แต่แนวโน้มกำไรจะชะลอตัวลงใน 2H24 แต่อยู่ในระดับสูง ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว 5) หลีกเลี่ยง META มีการแข่งขันสูงจะเห็นผลในปี 2H24 ในระยะสั้นรายได้ค่าโฆษณาที่ฟื้นตัวสนับสนุน แนะเก็งกำไรผลประกอบการรายไตรมาสเป็นสำคัญ 6) หลีกเลี่ยง AAPL ทั้งนี้จากการแข่งขันที่สูงและได้รับผลกระทบจากสงครามเทคโนโลยีจากค่ายมือถือในจีนเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ทั้งนี้มองว่าจุดกลับตัวของ AAPL คือนวัตกรรมและ AI
17/01/2024  US Banks NII และ NIM เริ่มลดลง....กลุ่มธนาคารใหญ่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค
  • กลุ่มธนาคารสหรัฐฯ อย่าง Wells Fargo & Co (WFC), Citigroup (C), Bank of America (BAC) เผยผลประกอบการ 4Q23 โดยรายได้ NII และกำไร NIM ในภาพรวมลดลงหลังได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการตั้งสำรองและมีผลขาดทุนเครดิตเพิ่ม อย่างไรก็ดี WFC BAC และ JPM ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค พร้อมมองว่าการบริโภคยังคงมีความยืดหยุ่นอยู่มากซึ่งจะช่วยหนุนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ

มุมมองของ InnovestX

  • ภาพรวมงบช่วง 4Q23 ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ธนาคารหลางแห่งต่างประสบปัญหาทางการเงินและอยู่ในช่วงปรับโครงสร้าง โดยค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลักมาจากการเติมเงินเข้ากองทุนประกันเงินฝากของรัฐบาล (DIF) ซึ่งได้รับผลกระทบจากธนาคาร Silicon Valley และผู้ให้กู้อีก 2 รายล้มเหลวในปีที่แล้ว ด้วยภาพนี้จึงทำให้ธนาคารมีการปรับลดต้นทุน โดยเริ่มจาก BAC ในปีก่อนที่มีการปรับลดพนักงานลงจนต่อเนื่องมาถึงปีนี้ที่ WFC และ C ปรับลดตามส่งผลให้ในปี 23 ที่ผ่านมาพนักงานธนาคารทั้งสามแห่งลดลงกว่า 17,700 คน
  • ในปีนี้ 2024 เราคาดว่าการเติบโตของกลุ่มธนาคารมีทิศทางชะลอตัวลงต่อเนื่องผลกระทบจากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ที่จะส่งผลให้ 1) รายได้ในส่วนเงินฝากของธนาคารชะลอตัวลงจากปีก่อนที่มีการเติบโตสูงจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง 2) ความต้องการสินเชื่อที่จะชะลอตัวลงในช่วงที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ยังคงมีแรงกดดันจากปัจจัยมหภาค เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงในช่วง 1H24 เป็นตัน อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผลประกอบการจะยังคงมีแรงชดเชยจากส่วนธุรกิจ IB ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นได้หลังแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยช่วยเพิ่มความคาดหวังของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นได้ สะท้อนได้จากค่าธรรมเนียม IB ในช่วง 4Q23 ที่เป็นจุดสว่างของ BAC โดยเพิ่มขึ้น 7% ด้าน JPMorgan เพิ่มขึ้น 13%
  • ในส่วนมุมมองการลงทุน เรามองว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารมีการปรับตัวขึ้นรับประเด็นความคาดหวังในการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯไปแล้ว โดยราคาหุ้น BAC WFC C มีการปรับตัวขึ้นราว 30% ในช่วงสองเดือนท้ายของปี 23 จนทำให้ Valuation ของกลุ่มธนาคาทั้งสามแห่งอยู่ใกล้เคียงหรือเทียบเท่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่ในช่วงนี้ยังคงมีการขายทำกำไรออกมาต่อเนื่องตามภาพผลประกอบการที่ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ซึ่งโดยปกติหุ้นกลุ่มธนาคารจะเคลื่อนไหวตามภาพเศรษฐกิจ ทำให้เรามองว่าอาจรอให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้มีการปรับตัวลงตามภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงใน 1H24 ก่อนและค่อยหาจังหวะการเข้าลงทุนในช่วงที่ภาพเศรษฐกิจเข้าสู่จุดต่ำสุดซึ่งในตอนนั้นที่เรามองว่าน่าจะให้ Risk Reward ที่คุ้มค่า พร้อมคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงครึ่งปีหลัง 24
  • ในกลุ่มนี้เราชอบ WFC และ BAC ที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและฐานะทางการเงินแกร่ง
15/01/2024 MSFT vs AAPL Microsoft แซง Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
  • MSFT แซง AAPL เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ทั้งนี้มองว่า 1) MSFT มีสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่มีอัตราการเติบโตที่มากกว่า 2) ธุรกิจ Personal Computer อยู่ในช่วงการฟื้นตัวในขณะที่ Smartphone มีการเติบโตที่จำกัด 3) AAPL ได้รับผลกระทบจากจีนค่อนข้างมาก 4) MSFT มีความโดดเด่นในเชิงนวัตกรรมมากกว่า และ 5) AAPL อาจจะเผชิญกับปัญหาสินค้าคงค้าง
  • เราเชื่อว่า MSFT จะมี Premium บน Valuation จากนวัตกรรมอย่าง Generative AI ซึ่งอาจจะแตกต่างกับ AAPL ที่สินค้าใหม่อาจจะไม่ค่อยมีนวัตกรรมใหม่มากนักและมีการแข่งขันสูงกว่า
  • การเติบโตของ MSFT มองว่าจะอยู่ที่ 17% ในปี 2024 ซึ่งสูงกว่า AAPL ที่อยู่ที่ 8% ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากความขัดแย้งด้านการค้าและเทคโนโลยีที่ทำให้ AAPL มีปัญหาการเติบโตช้า เพราะกระทบทั้งในส่วนของการผลิตและความต้องการสินค้า ซึ่งพบว่าการแข่งขันจากสินค้าจีนมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • แม้ว่า MSFT และ AAPL จะอยู่ในคนละธุรกิจแต่หากเปรียบเทียบกันในมิติการลงทุน เราจะพบว่า MSFT มีความน่าสนใจในเชิงของปัจจัยพื้นฐานและพัฒนาการของธุรกิจที่ดีกว่า AAPL ที่มีปัญหารอบด้าน นอกจากนั้นเรามองว่าภาพนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงในช่วง 2025
  • Consensus มองว่า MSFT มี Upside 9% (ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 420) และ 91% ของนักวิเคราะห์แนะนำซื้อและไม่มีขาย ในขณะที่ AAPL มี Upside 6% (ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 198) โดย 60% ของนักวิเคราะห์แนะนำซื้อ 30% แนะนำถือ และ 10% แนะนำขาย (กรอบราคาเป้าหมายสำหรับนักวิเคราะห์ที่แนะนำขายที่ 125-160)
10/01/2024 Nvidia (NVDA.US)
เปิดตัวชิปประมวลผล AI ใหม่ที่ที่สามารถส่งออกไปยังจีนได้
  • Nvidia (NVDA) เปิดตัวชิปใหม่ที่สามารถประมวลผล AI ได้และมีการออกแบบตามเงื่อนไขการส่งออกชิปที่สหรัฐฯกำหนดไปยังจีน ได้แก่ 1) RTX 5880 Ada Generation การ์ดจอเวิร์คสเตชันใหม่ สำหรับงาน AI ระดับมืออาชีพและระดับอุตสาหกรรม 2) GeForce RTX 4080 SUPER ที่ส่วนมากใช้สำหรับอุตฯ เกม สร้างเนื้อหา และงานการพัฒนา AI ระดับปานกลาง นอกจากนี้ยังวางแผนการผลิตชิป AI ที่ออกแบบมาสำหรับจีนจำนวนมากใน 2Q24

มุมมองของ InnovestX

  • เรามองบวกต่อการเปิดตัวชิปใหม่ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแผนการรับมือที่ดีต่อความเสี่ยงการถูกควบคุมของทางการ โดยบริษัทหันมาผลิตชิปที่มีความสามารถประมวลผลน้อยกว่าสำหรับตลาดจีนและมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มปริมาณการผลิตแทนเพิ่มคุณภาพการประมวลผลซึ่งอาจถูกควบคุมได้ ด้วยภาพนี้ทำให้เรามองว่าหากมีการรับรู้ยอดขายกลุ่มชิปใหม่ที่ออกแบบสำหรับจีนจะสามารถชดเชยยอดขายกลุ่มประมวลผลขั้นสูงกว่าที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดจีนได้ ประกอบกับแผนการเพิ่มอุปสงค์จำนวนมากที่ระยะถัดไปจะช่วยหนุนการเติบโตได้เช่นกันซึ่งคาดเริ่มเห็นผลได้ในช่วงงบ F1Q25-F2Q25
  • ในระยะสั้น เราเชื่อว่าการเติบโตของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปในช่วงปีแรก 24 ขึ้น รวมถึงมองการเติบโตของกำไรที่ดีกว่าที่คาดและการออกสินค้าใหม่ในปี 2024 จะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นได้อีก แต่อย่างไรก็ดีเรามองว่าราคาหุ้นปรับตัวสะท้อนข่าวดีมาแล้วระดับหนึ่ง ประกอบกับมูลค่าในปัจจุบันที่ตึงตัวในระดับ 42.4x ซึ่งหากเทียบกับแนวโน้มการเติบโต 52% YoY ในปี 2024 และ 55% ในปี 2025 ถือได้ว่าสมเหตุสมผล ทำให้เราจึงแนะนำถือหากว่ามีสถานะ ขณะที่ในกรณีที่ต้องการเห็นการเติบโตสูงต่อเนื่องเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้นช่วง 1H24 ซึ่งหากผ่านพ้นไปจนถึง2H24 แล้วนั้นเรามองว่าแนวโน้มการเติบโตจะชะลอตัวลงเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้น จึงแนะนำเปลี่ยนตัวเล่นไปยังกลุ่ม Software ที่ได้ประโยชน์เช่นกัน ด้าน Bloomberg ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยไว้ที่ 648.3 USD ซึ่งมี Upside 24% จากราคาปัจจุบัน
  • ในระยะยาว เรามองว่า NVDA ยังคงมีแรงกดดันจากการแข่งขันในอุตฯที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเรามองว่าบริษัทยังคงมีการเติบโตที่โดดเด่นกว่ากลุ่มจากจุดแข็งที่คู่แข่งยากที่จะเลียนแบบโดย 1) ความได้เปรียบการเข้าตลาดก่อนคู่แข่งทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดที่ดี 2) มีสิทธิบัตรด้านการออกแบบ 3) มีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทมีความเสี่ยงด้านการเงินต่ำและมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการเติบโตทั้งการพัฒนานวัตกรรมหรือการควบรวมกิจการใหม่ นอกจากนี้เรามองว่าตำแหน่งธุรกิจแกร่ง กระจายตัวดี รวมถึงมีแนวโน้มที่เติบโตในอนาคต เช่นชิปที่ใช้ใน AI Cloud Automotive