Wealth Stock Note

01/06/2023 AMATA ก่อนไปคิดอะไร
  • คาดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในช่วง 2Q-3Q66 อาจมีแนวโน้มชะลอตัวกดดันจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทั่วโลกและเกิดการถดถอยในบางประเทศ และนักลงทุนเริ่มชะลอการตัดสินเพื่อรอดูนโยบายหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เราคาดหวังการฟื้นตัวของยอดขายที่ดินใน 2H66 อุตสาหกรรมที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ เช่น กลุ่มยานยนต์ EV Electronic และ Semiconductor

หลังไปได้อะไร

  • AMATA คงเป้าการขายที่ดินในปี 2566 ที่ 2,250 ไร่ โดยใน 1Q66 มีการทำ MoU ร่วมกับ GRIMM Power เพื่อร่วมมือศึกษาพัฒนา European Smart City บนพื้นที่ 200 ไร่ในจังหวัดชลบุรี เน้นกลุ่ม Hi-Tech จากทวีปยุโรป โดยใน 1Q66 AMATA มียอดขายที่ดินรวม 310 ไร่หรือ 14% ของเป้า (อมตะ ซิตี้ ระยอง จำนวน 251 ไร่ อมตะ ชลบุรี จำนวน 30 ไร่ และ อมตะ ไทยไชนีส ระยอง จำนวน 29 ไร่) โดยรวมคาดอุปสงค์ของฐานลูกค้าแต่ละอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ YoY และ AMATA อยู่ในช่วงเจรจาประมาณ 2-3,000 ไร่ คาดยอดขายที่ดินใน 2Q66 จะเติบโตโดดเด่น และคงเป้าการขายที่ดินในปีนี้เป็นยอดขายที่ในประเทศไทย 1,500 ไร่ เติบโต 131% YoY และยอดขายจากประเทศเวียดนาม 750 ไร่เติบโตจาก 45 ไร่ในปี 2565 นอกจากนีคาดว่าในปีนี้จะเริ่มมียอดขายที่ดินจากนิคมฯ ใหม่ในประเทศ สปป. ลาว เข้ามา 200-300 ไร่

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • AMATA มี Backlog 6,650 ล้านบาท (ยอดจากเวียดนาม 1,800 ล้านาท) คาดประมาณ 2,500 ล้านบาทสามารถบันทึกรายได้ในปีนี้โดยคาดว่าน้ำหนักการบันทึกรายได้จะอยู่ใน 2H66 ดังนั้นเราคาดรายได้ของปี 2566 ที่ 7,699 ล้านบาท (+18% YoY) และกำไรสุทธิที่ 1,815 ล้านบาท (-22.5% YoY) โดยหากลบรายการกำไรจากการขายโรงงานในประเทศเวียดนามในปี 2565 ที่ 1,360 ล้านบาท จะส่งผลให้ Core Profit เติบโต 85% YoY
  • เรายังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มการลงทุนและ FDI ในประเทศไทย สำหรับพื้นที่ EEC คาดหวังการขยายการลงทุนและนโยบายที่สนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ และคาดว่า AMATA เป็นผู้ประกอบการรายหนึ่งที่มีความพร้อมทั้งที่ดินพร้อมขาย ที่ดินรอการพัฒนา ระบบสาธารณูปโภค สำหรับประเทศเวียดนามเราเริ่มมีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศและติดตามประเด็นความเสี่ยงจากระบบสาธารณูปโภค
  • ความเสี่ยง : ทิศทางเศรษฐกิจโลก ต้นทุนพลังงานที่ผันผวน และติดตามโอกาสและความเสี่ยงของการย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ
  • เราให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ฐาน PER ที่ 17 เท่าซึ่งเท่ากับ +0.25SD ในรอบ 7 ปีของ AMATA ได้ราคาเป้าหมาย 50 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ ซื้อ
29/05/2023 HTC ก่อนไปคิดอะไร
  • การขยายโรงงาน สายการผลิตที่ 3 ที่อำเภอ พุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี คาดจะสามารถรองรับการเติบโตและเพิ่มการผลิตในช่วง high season ได้ดี และเราคาดยอดขายของ 2Q66 จะสามารถเติบโตโดดเด่น YoY จากเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ที่ฟื้นตัวและเติบโตได้ต่อเนื่องเล็กน้อย QoQ จากฐานที่สูงใน 1Q66

หลังไปได้อะไร

  • จากการเยี่ยมชมโรงงานส่วนขยายใหม่ของ HTC เรามีมุมมองที่เป็นบวกต่อ Capacity การผลิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของยอดขายในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า โดยโรงงานใหม่ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาทเริ่มเปิดผลิตบางส่วนช่วง 2H65 ที่ผ่านมา และหลังจาก Full Operation แล้วคาดว่าการผลิตในกลุ่ม PET จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในระยะยาวได้จากเดิมที่เหลือ capacity เพียง 10% จะเพิ่มเป็น 35% นอกจากนี้ HTC เน้นนโยบาย Green Energy โดยการติดตั้งแผง Solar และลดการใปล่อย CO2 รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจากเดิมที่ 12% เป้น 17% ของการใช้พลังงานทั้งหมดภายในปี 2567

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรายังคงมุมมองที่บวกต่อทิศทางผลประกอบการของ HTC ในปี 2566 ที่คาดว่ากำไรสุทธิจะทำฐานสูงสุดใหม่ โดยคาดรายได้ที่ 7,669 ล้านบาท (+9% YoY) สอดคล้องกับเป้าหมายบริษัทที่ตั้งรายได้เติบโต 7-9% ในปีนี้และมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 3% กลยุทธ์หลักในปีนี้คือการออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Zero Sugar และเครื่องดื่ม carbonated การกระจายสินค้าไปในพื้นที่ท่องเที่ยวมากขึ้นและการรักษา Market Share ในกลุ่ม NARTD ที่ 26% สำหรับการบริหารต้นทุนคาดทิศทางดีกว่าปี 2565 ด้วยต้นทุนหลักที่ปรับลดลง และการเกิด economy of scale ดังนั้น เราคาด Gross margin ที่ 41.5% ดีกว่าปี 2565 ที่ 40% และคาดกำไรสุทธิที่ 629 ล้านบาท (+45% YoY) ทิศทางผลประกอบการ 2Q66 คาดเติบโต YoY แต่อาจทรงตัว QoQ ขณะที่ภาษีน้ำตาลเฟส 3 ที่เริ่มใช้ในเดือน เม.ย. 2566 คาดมีผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากการขึ้นราคาบางส่วนเพื่อชดเชย
  • ความเสี่ยงและความกังวล : ต้นทุนวัตถุดิบหลักราคาผันผวน สภาพภูมิอากาศที่อาจจะผลต่ออุปสงค์ เงินเฟ้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภคภายในประเทศที่ยังเปราะบาง การปรับเพิ่มขึ้นของแรงงานขั้นต่ำที่แม้ HTC มีส่วนของกลุ่มแรงงานขั้นต่ำจำนวนไม่มากและไม่ใช่อุตสาหกรรมที่เป็น labor intensive แต่มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายเล็กน้อย
  • คงคำแนะนำ ซื้อ HTC มีราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 47 บาท/หุ้น อิงจาก PER ที่ 15 เท่า (+1SD) เราชอบที่ HTC เป็นหุ้นที่มีสินค้าและ Brand ชัดเจน สภาพคล่องทางการเงินแข็งแกร่ง หนี้สินต่ำ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและให้ตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 5% ต่อปี
22/05/2023 HANA ก่อนไปคิดอะไร
  • HANA ประกาศกำไรสุทธิที่ 266 ล้านบาท ใน 1Q66 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 533 ล้านบาท ค่อนข้างมาก โดยกำไรสุทธิ ลดลง 2% QoQ และ 27.0% YoY โดยหากหักรายการพิเศษออกไป Core earnings อยู่ที่ 293 ล้านบาท ลดลง 50% QoQ และ 26% YoY หลักๆ ยอดขายที่ลดลง 9.3% QoQ (หลักๆมาจาก IC) มาจากผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และ Weak demand สะท้อนความต้องการในผลิตภัณฑ์ PC และมือถือที่ชะลอตัวลงทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปทำให้ Gross margin โดยรวมลดลงมาอยู่ที่เพียง 8.6% ใน 1Q66 เทียบกับ 13.4% ใน 4Q65 โดย Gross margin ของผลิตภัณฑ์ PCBA ลดลงเป็น 18.1% ใน 1Q66 จาก 19.5% ใน 4Q65 และ gross margin ของ IC ลดลงจนติดลบ 2.4% ใน 1Q66 จาก 6.5% ใน 4Q65

หลังไปได้อะไร

  • คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q66 ยังคงอ่อนแอ โดยยังได้รับผลกระทบจากลูกค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ และ Smartphone ที่ลูกค้ายังชะลอตัวคำสั่งซื้อ ตามความกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะทีต้นทุนค่าแรง และค่าไฟฟ้ายังสูง ทำให้อัตราการทำกำไรอ่อนแอเช่นกัน
  • HANA ยัง focus ผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่าง RFID tag product ซึ่ง HANA เป็นหนึ่งใน 7 บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติเพื่อเป็น key suppliers ให้กับ Walmart (+10b units) Dick’s (2b units) Dillar’s (1b units) และ Nordstroms (0.5b units) แล้ว ซึ่งถือว่าจะเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ ร้านค้าต่างๆในอนาคต จึงมีแนวโน้มเติบโตสูง โดย margin คาดว่าจะค่อนข้างต่ำกว่า IC packaging แต่จะได้ volume ที่เยอะกว่า ส่วน PMS (Silicon Carbide MOSFET) demand ยังค่อนข้าง strong โดยคาดว่ารายได้จะอยู่ 25-30 ล้านเหรียญฯในปี 2023 และ 60 ล้านเหรียญฯ ในปี 2024 HANA คาดว่า EBITDA break even กลางปีนี้ แต่ Net profit break even ยังคงอยู่ที่ปี 2025 เริ่ม ramp up capacity บางส่วนแล้ว แต่ปัญหาคือ SiC equipment lead time อยู่ระหว่าง12-18 เดือน และต้องจ่ายล่วงหน้า 80% ในช่วง 1 ถึง 1 ปีครึ่งจากนี้ ปัจจุบันทาง HANA ยังมองหา funding หลายoptions อาทิ กู้เงินแต่มีต้นทุนดอกเบี้ยแพง รวมถึง Private Placement 80 ล้านหุ้นที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติแล้ว
  • ส่วนค่าแรงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นก็เป็นปัจจัยลบต่อ HANA โดย HANA มีสัดส่วน labor อยู่ที่ 6-7% ของ sale โดยพยายาม offset ด้วย automation process ส่วน electricity cost คิดเป็น 4-5% ของ sale

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เราปรับลดประมาณการปี 2566-67 ลง 30% และ 10% ตามลำดับ สะท้อนการฟื้นตัวของ demand ที่ช้ากว่าคาด โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรจากการดำเนินของ HANA จะลดลง 7% YoY ในปี 2566 จากปริมาณความต้องการสินค้าหลักในกลุ่ม PC และ Smartphone ที่ลดลง โดยคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ใน 2H66 เราแนะนำให้รอหุ้นปรับฐาน ค่อยหาจังหวะซื้อในช่วงราคามีการปรับฐานลงมา
  • ความเสี่ยง เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงมากขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาท
  • ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่ 00 บาท (จากเดิม 57.00 บาท) ที่ฐาน PER ที่ 20 เท่าซึ่งเท่ากับ mean ในรอบ 5 ปีของ HANA โดยเรายังคงแนะนำ ถือ
22/05/2023 ONEE ก่อนไปคิดอะไร
  • เราได้มีการเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพื่อทราบถึงแนวโน้มของผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี ภายหลังจากผลประกอบการ 1Q66 ออกมาลดลงทั้ง QoQ และ YoY ค่อนข้างมาก

หลังไปได้อะไร

  • ภาพรวมเป็นบวกเล็กน้อย โดยทางผู้บริหารชี้แจงว่าผลประกอบการ 1Q66 ที่ออกมาค่อนข้างที่จะอ่อนแอนั้นเกิดจากภาวะผิดปกติในเรื่องของเม็ดเงินโฆษณา TV ในช่วงเดือน มกราคมและกุมภาพันธ์ ที่ออกมาต่ำมาก แต่เห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่นในเดือนมีนาคม โดยมองว่าผลประกอบการ 1Q66 นั้นเป็นจุดต่ำสุดของปี
  • ในส่วนของ 2Q66 นั้นคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวได้ QoQ แต่ YoY คาดว่าจะยังติดลบอยู่ โดยการฟื้นตัว QoQ นั้นเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา TV ที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้โดยผู้บริหารคาดว่าการฟื้นตัวของรายได้รวมจะไม่ต่ำกว่า 5% QoQ แต่ในส่วนของ YoY ที่ติดลบนั้นเป็นผลมาจากลูกค้ารอดูความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง แต่ในส่วนของฝั่งต้นทุนนั้นผู้บริหารยังคงรัดกุมอย่างต่อเนื่องใน 2Q66 โดยในส่วนของ Non-prime time ยังคงเป็นการ Rerun อย่างต่อเนื่อง
  • การฟื้นตัวคาดว่าจะโดดเด่นในช่วง 2H66 โดยผู้บริหารมองการฟื้นตัวของรายได้ 20-30% HoH โดยปัจจัยผลักดันหลักๆคือความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งจะทำให้ลูกค้ากลับมามีความมั่นใจในการลงเงินโฆษณามากขึ้น โดยผู้บริหารได้มีการพูดคุยกับลูกค้าบ้างแล้วถึงโอกาสในการกลับมาลงเม็ดเงินโฆษณาที่มากขึ้นและเห็นสัญญาณเชิงบวกถ้าเห็นความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรามีการปรับกำไรปี 2566 ลง 22% อยู่ที่ 542 ล้านบาท ลดลง 6% YoY ภายหลังจากที่เรามีการปรับลดในส่วนของ อัตรากำไรขั้นต้นลงอยู่ที่ 38% จาก 41% เพื่อสะท้อนภาพผลกระทบของเม็ดเงินโฆษณา TV ที่อ่อนแอใน 1Q66 และธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง
  • ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 39% YTD ซึ่งสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว และซื้อขายอยู่ที่ระดับใกล้เคียง -2SD ในเชิงของ PE ทำให้ Downside ค่อนข้างที่จะจำกัด ประกอบกับผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เราจึงแนะนำนักลงทุนใช้จังหวะนี้ทยอยสะสม เพื่อรอการฟื้นตัวของผลประกอบการตั้งแต่ 2Q66 เป็นต้นไป เราให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 6-6.3 บาทต่อหุ้น (จาก 7.1 บาท) อิง 24.6x-27.5x PE ปี 2566 หรือ -1SD ถึง -0.5SD
  • ความเสี่ยงคือ การฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา TV ในช่วง 2H66
18/05/2023 HTC ก่อนไปคิดอะไร
  • คาดฤดูร้อนใน 2Q66 จะส่งผลดีต่อยอดขายเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตามใน 1Q66 ด้วยฐานยอดขายที่โดดเด่นและเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวคาดจะเติบโตได้เพียงเล็กน้อย QoQ แต่เติบโตสูง YoY จากฐานต่ำและการปรับราคาขายตั้งแต่ช่วงเดือน สิงหาคม 2565 ขณะที่ภาษีน้ำตาลเฟส 3 ที่เริ่มใช้ในเดือน เม.ย. 2566 คาดมีผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากการขึ้นราคาบางส่วนเพื่อชดเชย

หลังไปได้อะไร

  • HTC ปรับเป้าการเติบโตของรายได้ในปี 2566 ที่ 7-9% จากเดิมที่ 6-8% จากยอดขายที่เติโตได้ดีกว่าเป้าใน 1Q66 และตั้งเป้าการบันทึกรายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ Haven Karnjanavanich ที่ประมาณ 100 ล้านบาท

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • HTC รายงานกำไรสุทธิของ 1Q66 ที่ 199 ล้านบาท (+2% YoY และ +94.5% QoQ) โดยมีรายได้ที่ 2,070 ล้านบาท (+22.8% YoY และ +19% QoQ) ผลบวกจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเด่นในภาคใต้และกลยุทธ์ทางการขายทั้ง Pack Mix และ Channel Mix รวมทั้งการออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Zero Sugar ในหลายรสชาติ Gross Margin เท่ากับ 42% ดีขึ้น YoY แต่อ่อนตัวลงเล็กน้อย QoQ ระดับ SG&A เท่ากับ 31% ลดลงในส่วน % ทั้ง YoY และ QoQ ด้วยรายได้ที่สูงขึ้นและ Efficiency ที่ดีขึ้น กำไรสุทธิของ 1Q66 คิดเป็น 35% ของเป้าประมาณการกำไรสุทธิที่เราทำไว้ในปีนี้ที่ 579 ล้านบาท (+11% YoY).
  • เราคงมุมมองที่เป็นบวกและมีการปรับประมาณการรายได้ของปี 2566 เพิ่มขึ้น 2% เท่ากับ 7,669 ล้านบาท (+9% YoY) สอดคล้องกับเป้าหมายบริษัทที่ตั้งรายได้เติบโต 7-9% ในปีนี้ด้วยกลยุทธ์การออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Zero Sugar และกระจายสินค้าไปในพื้นที่ท่องเที่ยวมากขึ้นและการรักษา Market Share ในกลุ่ม NARTD ที่ 26% สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ตั้งเป้ารายได้ 100 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดของประมาณ 70 ล้านบาท เรามีการปรับเป้า Gross margin เฉลี่ยของปี 2566 เพิ่มขึ้นจากระดับต้นทุนบรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่งและราคาน้ำมันที่ลดลงและ Economy of Scales ที่เกิดขึ้นจาก 40% เป็น 5% ดังนั้นคาดกำไรสุทธิจะทำ new high ได้ที่ 629 ล้านบาท (+45% YoY)
  • ความเสี่ยงและความกังวล ต้นทุนวัตถุดิบหลักราคาผันผวน สภาพภูมิอากาศ เงินเฟ้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภคภายในประเทศที่ยังเปราะบาง
  • คงคำแนะนำ ซื้อ HTC โดยหลังจากปรับประมาณการกำไรสุทธิเราได้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 47 บาท/หุ้น จากเดิมที่ 36 บาท/หุ้น อิงจาก PER ที่ 15 เท่า (+1SD) เราชอบที่ HTC เป็นหุ้นที่มีสินค้าและ Brand ชัดเจน สภาพคล่องทางการเงินแข็งแกร่ง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและให้ตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 5% ต่อปี
16/05/2023 WICE ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 มีเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 1Q66 WICE มีกำไรสุทธิ 55 ลบ. หดตัวต่อเป็นไตรมาสที่สามราว 65%YoY โดยแม้อัตรากำไรข้นต้นในทุกธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้น YoY จากการบริหารต้นทุนดี แต่ถูกหักล้างด้วยรายได้รวมที่ลดลง 52%YoY ซึ่งแม้รายได้จากธุรกิจ Supply Chain Solutions จะเติบโต 14%YoY หลังมีพื้นที่คลังสินค้าเพิ่ม 5 หมื่นตร.ม. แต่ไม่เพียงพอชดเชยการปรับตัวลงของรายได้จากธุรกิจ Sea freight (-73%YoY) ธุรกิจ Air freight (-28%YoY) และธุรกิจขนส่งบกข้ามแดน CBS (-20%YoY) หลังได้รับผลกระทบจากค่าขนส่งและปริมาณขนส่งที่ลดลง กดให้อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.4% ลดลงทั้ง QoQ และ YoY

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร WICE คาด 2H66 ปริมาณขนส่งจะปรับตัวดีขึ้น จากจีนเปิดประเทศและตลาดสหรัฐฟื้นตัว โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งบริษัทยังมีแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายปริมาณขนส่งซึ่งคาดเห็นความคืบหน้าชัดเจนใน 2H66 อาทิ ร่วมมือกับ N-Squared เพื่อขยายฐานลูกค้าเดิมไปยังกลุ่ม B2B2C, ร่วมมือกับ SAT เพื่อพัฒนาโครงการ Green Logistics Hub ที่บางนาและระยอง และปีนี้มีแผนขยายคลังสินค้าอีก 4.5 หมื่น ตร.ม. (1Q66 ที่บางนา กม.18 4 พันตร.ม., 2Q66 ที่บางปะอิน 2 หมื่นตร.ม. และบางนา กม.18 1.1 หมื่นตร.ม., 3Q66 Industrial Packaging DC อีก 1 หมื่นตร.ม.)
  • บริษัทยังมุ่งมั่นเป็นผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร โดยมีแผนเพิ่มปริมาณงานขนส่งที่เป็นของธุรกิจหลักทั้งทางทะเลและทางอากาศ รวมทั้งเพิ่มกำลังให้บริการ CBS และขยายพื้นที่คลังสินค้าให้ได้ 1 แสนตร.ม. ในปี 2568 ส่วนแผนนำ ETL ซึ่งดำเนินธุรกิจ CBS (ถือ 51%) เข้า mai ได้ยื่นไฟลิ่งเมื่อ เม.ย. แล้ว และคาดเสนอขายหุ้น IPO ภายใน 3Q66

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • แม้ 2Q66 คาดกำไรจะฟื้นตัว QoQ ตามผลฤดูกาล แต่จะยังหดตัว YoY จากค่าระวางขนส่งที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด บวกกับ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและจีนยังมีแนวโน้มอ่อนแอ ทำให้คาดปริมาณขนส่งแย่กว่าคาดเดิม อีกทั้งกำไร 1Q66 คิดเป็นเพียง 6% ของประมาณการทั้งปีซึ่งต่ำเกินไป เพื่อยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการลงจากเดิมเฉลี่ย 23% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 WICE จะมีกำไรสุทธิ 400 ลบ. หดตัว 27.7%YoY
  • แม้กรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่หุ้นละ 8.00-8.60 บาท (อิง PER 13-14x เช่นเดิม) ไม่มี Upside และ 2Q-3Q66 คาดกำไรยังหดตัว YoY แต่ WICE ยังมีศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาวตามการขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์ และผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับจัดสรร IPO ของ ETL ที่จะขายในปีนี้ อีกทั้งฐานะการเงินแกร่ง (หนี้ที่มีดอกเบี้ยจ่ายต่อทุน 0.14x) และคาดจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Yield ปีละ 3.7% สำหรับผู้ที่มีหุ้นอยู่จึงคงแนะนำ “ถือ”
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน, การล็อกดาวน์เข้มงวดของจีนเพื่อคุมการระบาดของ COVID-19, การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความผันผวนของค่าระวาง
12/05/2023 III ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 ตั้งเป้าการเติบโตอย่างไร หลัง 1Q66 III มีกำไรสุทธิ 149 ลบ. เติบโต 32.4%YoY โดยแม้รายได้รวมลดลง 41%YoY ตามการลดลงของรายได้ทุกธุรกิจหลังค่าระวางขนส่งลดลง นำโดย Logistics (-67%YoY), Sea freight (-56%YoY), Air freight (-33%YoY) และ Chemical (-24%YoY) อีกทั้งไม่ได้รับรู้รายได้ของ TAC หลังขายให้แก่ ANI ปลายปีก่อน แต่ยังชดเชยได้ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นเป็น 21% จาก 16.1% ใน 1Q65 หลังธุรกิจ Air freight มีมาร์จิ้นดีขึ้นจากการให้บริการคลังสินค้าที่กลับมาทำกำไร และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินทุนฯ ที่เพิ่มขึ้น 88%YoY หลักๆ จาก ANI ซึ่งรับรู้ ASIA GSA (M) 100% จากที่มีอยู่เดิม 20% และจาก AOTGA (ถือผ่าน SAL) ซึ่งการให้บริการภาคพื้นดินในสนามบินฟื้นตัวต่อเนื่อง

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร III มองว่าปัจจุบันค่าระวางขนส่งทางเรือและอากาศผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่โอกาสฟื้นตัวเร็วในช่วงสั้นนี้ยังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความกังวลการถดถอยของเศรษฐกิจโลกและตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอยังเป็นปัจจัยกดดันความต้องการขนส่งสินค้า อย่างไรก็ดี ปี 2566 คาดผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ดี จากธุรกิจ Air freight ซึ่งคาดมีปริมาณขนส่งเพิ่มขึ้น หลังมีพื้นที่ระวางสินค้าเพิ่มขึ้นจากจำนวนเที่ยวบินฟื้นตัว และยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเงินทุนฯ ที่คาดจะเติบโตเด่น หลังตั้งแต่ต้นปี ANI ได้ถือหุ้น 100% ของ ASIA GSA (M) และ AOTGA มีการฟื้นตัวที่ดีจากการให้บริการภาคพื้นดินในสนามบินภูเก็ตและดอนเมือง
  • เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 บริษัทได้ยื่นไฟลิ่งของ ANI (ถือ 51.66%) ซึ่งเป็นตัวแทนขายระวางสินค้าของสายการบินของกลุ่มบริษัทต่อ ก.ล.ต. แล้วและคาดจะเสนอขาย IPO ได้ใน 2H66และบริษัทยังเผยว่า บริษัทในเครือ AOTGA มีแผนเข้าประมูลโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ในเดือน ก.ค. นี้ และคาดทราบผลประมูลใน 3Q66

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • จากความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจโลกและปริมาณสินค้าคงคลังในประเทศคู่ค้าที่ยังสูง ทำให้มองปริมาณความต้องการขนส่งสินค้าและค่าระวางมีความเสี่ยงถูกกดดันมากกว่าคาด ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2566 เฉลี่ยราว 5% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 III จะมีกำไรปกติ 650 ลบ. เติบโต 18%YoY (แต่กำไรสุทธิจะลดลง 3%YoY เนื่องจากปี 2565 มีการบันทึกรายการพิเศษสุทธิราว 245 ลบ.)
  • เราประเมินกรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 ที่หุ้นละ 13.70-14.50 บาท (อิง PER -1SD ที่ 17-18x จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีและอิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจาก RO และใช้สิทธิแปลงสภาพ III-W1 เต็มจำนวน) และผู้ถือหุ้น III ยังมีสิทธิรับจัดสรรหุ้น IPO ของ ANI อย่างไรก็ดีช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยและผลการดำเนินงานยังมีความเสี่ยงถูกกดดันจากเศรษฐกิจโลกถดถอย กลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว” เทคนิคให้แนวรับที่ 11.80/11.40 บาท
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน, การล็อกดาวน์เข้มงวดของจีนเพื่อคุมการระบาดของ COVID-19, การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความผันผวนของค่าระวาง
12/05/2023 SECURE ก่อนไปคิดอะไร
  • SECURE รายงานกำไร 1Q66 ที่ 2 ล้านบาท ลดลง 8.2% QoQ แต่เติบโตโดดเด่นที่ 695.9% YoY โดยถ้าหักในส่วนของ FX gain ออกกำไรปกติจะอยู่ที่ 26.3 ล้านบาท เติบโต 15.9% QoQ และ 842.8% YoY โดยดีกว่าที่เราคาดไว้มากที่ 16 ล้านบาท โดยสิ่งที่ดีกว่าคาดมากคือการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นซึ่งอยู่ที่ 22.5% ดีขึ้นจาก 17.4% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยการที่สถานการณ์ Chip shortage ที่ดีขึ้นทำให้ระยะเวลาการส่งมอบงานสั้นลงประกอบกับความผันผวนของค่าเงินบาทที่ลดลงทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น โดยกำไร 1Q66 คิดเป็น 46.7% ของประมาณการทั้งปีของเรา
  • แนวโน้มผลประกอบการ 2Q66 และที่เหลือของปีจะเป็นอย่างไร และมีโอกาสไหมที่กำไรที่เราคาดการณ์ไว้ปีนี้จะมี Upside

หลังไปได้อะไร

  • เราคาดแนวโน้มกำไร 2Q66 น่าจะเห็นการ Soft ลง QoQ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีวัดหยุดค่อนข้างเยอะทำให้การส่งมอบงานจะทำได้น้อยกว่า 1Q66 แต่ในส่วนของ YoY นั้นคาดว่าจะเห็นการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากจากสถานการณ์ Chip shortage ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและค่าเงินบาทที่มีความผันผวนลดลง ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้จะช่วยในส่วนของรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นให้ดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มของผลประกอบการจะกลับมาเห็นการเติบโต QoQ ได้อีกครั้งในช่วง 3Q66 และจะไปพีคใน 4Q66
  • สถานการณ์ Chip shortage นั้นปัจจุบันใกล้เคียงภาวะปกติก่อน COVID-19 แล้ว โดยปัจจุบันระยะเวลาในการสั่งสินค้าอยู่ที่ประมาณ 60 วันจากช่วงที่แย่ที่สุดเคยยาวนานถึง 8-9 เดือน และช่วงเวลาปกติที่ 30-45 วัน ทำให้การส่งมอบงานให้ลูกค้าทำได้ดีขึ้นและการบริหารจัดการต้นทุนนั้นทำได้ดีขึ้นเช่นกัน และแนวโน้มยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 2Q66

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรายังคงคำแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 20-23 บาทต่อหุ้นอิง PE ที่ 35-40x ปี 2566 โดยเรายังคงเห็นพัฒนาการเชิงบวกของแนวโน้มธุรกิจอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของรายได้หลังจากที่ภาวะ Chip shortage กลับมาใกล้ปกติ และค่าเงินบาทที่มีความผันผวนลดลง เรายังเห็น Upside ต่อประมาณการณ์ของเราเนื่องจากผลประกอบการ 1Q66 ที่ออกมาถือว่าดีกว่าที่คาดไว้มาก
  • โดยจากแนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 เราเชื่อว่ามีโอกาสที่ปีนี้บริษัทจะรายงานผลประกอบการที่ระดับ All time high ได้
  • ความเสี่ยงคือสถานการณ์ Chip shortage รวมถึงค่าเงินบาทถ้ากลับมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วอีกครั้งจะกระทบในส่วนของ Gross margin ของบริษัท
12/05/2023 NER ก่อนไปคิดอะไร
  • ผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือปีนี้จะเป็นยังไง หลัง 1Q66 NER มีกำไรสุทธิ 314 ลบ. ลดลง 33%YoY โดยแม้ปริมาณขายยาง 1.28 หมื่นตัน เพิ่มขึ้น 32.4%YoY แต่ถูกหักล้างด้วยราคาขายเฉลี่ยที่ 49 บาทต่อกก. ลดลง 15.5%YoY จึงทำให้ยอดขายโตแค่ 11.8%YoY และยังถูกกดดันด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็น 9.7% จาก 8% ใน 1Q65 หลังราคาขายยางลดลงเร็วกว่าต้นทุน ส่วนกำไรที่ลดลง 15%QoQ เกิดจากยอดขายหดตัว 12%QoQ (ปริมาณขายและราคาขายลดลง 7%QoQ และ 5%QoQ ตามลำดับ) และมาร์จิ้นที่ปรับตัวลง

หลังไปได้อะไร

  • NER มองช่วงที่เหลือปีนี้ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากความต้องการยางยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการขยายตลาดลูกค้าใหม่ทั้งในไทย จีน สิงคโปร์ และอินเดีย (ตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตยางติด Top5 ของไทยภายในปี 2567) โดยบริษัทยังคงตั้งเป้าปี 2566 จะมีปริมาณขายยางราว 5.0 แสนตัน เติบโต 12%YoY ส่วนราคาขายยางอาจจะไม่สูงมากแต่คาดยังอยู่ในระดับที่ดี
  • บริษัทมีแผนลดต้นทุนการผลิตด้วยการขยายกำลังการผลิตซึ่งจะทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด โดยปีนี้มีแผนเพิ่มกำลังผลิตอีก 5 หมื่นตันที่โรงงานเดิมแห่งที่ 2 และจะก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งมีกำลังผลิต 1.728 แสนตัน ใช้งบลงทุน 700 ลบ. (แหล่งเงินทุนจะมาจากกำไรสะสมและ CFO) ซึ่งคาดจะเปิดดำเนินการใน 1Q67 ส่งผลให้สิ้นปี 2566 จะมีกำลังผลิตรวม 5.156 แสนตัน จากปี 2565 ที่ 4.656 แสนตัน และจะเพิ่มเป็น 6.884 แสนตันในปี 2567 ทั้งนี้จะมีการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ภายในโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อลดต้นทุนพลังงาน

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • แม้ปี 2566 ปริมาณขายยางจะมีแนวโน้มเติบโต YoY ตามอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการยางรถ EV รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แต่กำไรปกติ 1Q66 คิดเป็นเพียง 16% ของประมาณการทั้งปีซึ่งต่ำเกินไป เนื่องจากศักยภาพทำกำไรแย่กว่าคาดมากจากราคาขายที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดมาก เพื่อสะท้อนปัจจัยลบและยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงจากเดิม 16% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 NER จะมีกำไรปกติ 1,625 ลบ. หดตัว 12%YoY
  • กรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่หุ้นละ 4.80-5.30 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER เดิมที่ 5-6.0 เท่า) พบว่าไม่มี Upside ที่น่าสนใจแล้ว ซึ่งเมื่อบวกกับ 2Q66 คาดกำไรปกติยังมีแนวโน้มลดลง YoY ตามราคาขายยางเฉลี่ยที่ลดลง YoY จึงทำให้ขาดปัจจัยกระตุ้นการปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงสั้นนี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน”
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความผันผวนของราคายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน, การแข็งค่าของเงินบาท
11/05/2023 KCE ก่อนไปคิดอะไร
  • KCE ประกาศกำไรสุทธิ 1Q66 ที่ 345 ล้านบาท ต่ำกว่าตลาดคาด 18% โดยกำไรสุทธิ 1Q66 ลดลง 31% QoQ และ 42% YoY เนื่องจากผลกระทบความผันผวนของค่าเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยยอดขายในรูปสกุลเงินดอลล่าร์ลดลง 6.9% QoQ (-13% ในรูปสกุลเงินบาท) ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่างทองแดงมีการสต็อคไว้ในช่วงค่าเงินบาทอ่อนในช่วงปลายปี 65 ขณะที่ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าในช่วง 1Q66 ดังนั้นเลยดูเหมือนว่า KCE ซื้อวัตถุติบในราคาแพง ซึ่งกระทบต่อ Gross margin โดยรวม ใน 1Q66 เหลือเพียง 19.6% จาก 21.1% ใน 4Q65

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร KCE คาดว่า 2Q66 ยอดขายจะ Flat QoQ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นยอดขายเริ่มเพิ่มขึ้นได้ในช่วงปลาย 2Q66 ถึงต้น 3Q66 เนื่องจาก Demand ของฝั่ง Europe และ US เพิ่มขึ้น แต่ Demand ในฝั่งจีนยังค่อนข้าง Soft จากการ destock โดยคาดว่า U-rate ใน 2Q66 อยู่ระดับ 79% ทรงตัว QoQ ส่วน Gross margin คาดว่าจะ improve ขึ้นเล็กน้อยอยู่ระหว่าง 20-21% ใน 2Q66 เทียบกับ 19.6% ใน 1Q66 จากraw material ที่ลดลงเป็นหลัก ส่วนค่าไฟอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
  • กลยุทธ์หลัก ยังคงปรับเปลี่ยนสายการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ Special grade PCB (HDI, 30% ของยอดขายรวม) ที่มี Margin สูงมากขึ้นขึ้น ซึ่ง HDI เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในพวก Break system ในรถยนต์ EV และผลิตภัณฑ์ Radar/Lidar เป็นต้น โดยปัจจุบันมี เครื่อง Laser drill สำหรับใช้กับการผลิต HDI อยู่ 11 เครื่อง ซึ่งผลิตเต็มกำลัง และยังมี Demand ที่ค่อนข้างสูง โดยจะมีการเพิ่มเครื่อง Laser Drill เข้าไปอีก 2 เครื่องใน 2Q66 และอีก 2 เครื่องใน 3Q66 ซึ่งจะสามารถเพิ่ม Capacity ของ HDI ได้อีก 300,000-400,000 ตารางฟุตต่อไตรมาส หากติดตั้งทั้งหมด 4 เครื่อง ซึ่งจะช่วยทำให้ overall sale และ Gross margin เพิ่มขึ้นได้ใน 2H66 ส่วนโรงงานใหม่ที่โรจนะ อาจจะมีการเลื่อนการผลิตเชิงพาณิชย์ไปเบื้องต้นเป็น 4Q67 จากเดิมที่มีแผนว่าจะเริ่มเปิดเชิงพาณิชย์ ในช่วงกลางปีหน้า โดยอาจจะยังคงรอ Test ตลาดรอดู Demand ผลิตภัณฑ์ระยะหนึ่ง

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ KCE ในระยะกลางถึงยาว โดยจุดเด่นของ KCE คือเป็นผู้ผลิตแผงวงจรรายใหญ่ TOP10 ของโลก ให้กับผู้ผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในประเทศยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลบวกจากปริมาณความต้องการแผงวงจรในรถยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากตัวเลขล่าสุดยอดขายรถยนต์ในทวีปยุโรป (47% ของยอดขาย PCB ของ KCE) ที่มียอดขายเติบโต 5% YoY มาที่ 3.24 ล้านคัน ใน 1Q66 ตามด้วย US (21% ของยอดขาย PCB ของ KCE) ที่มียอดขายรถยนต์เติบโต 8.1% YoY มาที่ 3.56 ล้านคัน หักลบกับยอดขายรถยนต์ในจีน (12% ของยอดขาย PCB ของ KCE) ที่ลดลง 6.9% YoY มาที่ 5.08 ล้านคัน ใน 1Q66 นอกจากนี้เรายังมองว่าประเด็นค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมาเป็นสัดส่วน 9.7% ของต้นทุนรวม ใน 1Q66 จาก 6.7% ใน 4Q65 จะเริ่มคลี่คลาย หลังราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเริ่มกลับมาสู่ระดับปกติแล้ว
  • ความเสี่ยง เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงมากขึ้น และประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการแผงวงจร PCB โดยรวม และต้นทุนวัตถุดิบ
  • ราคาหุ้น KCE ปรับฐานลงมา (60% จาก Peak ช่วงปลายปี 2564) สะท้อนปัจจัยลบไปค่อนข้างมากแล้ว เราแนะนำให้ทยอยสะสม เพื่อรอการฟื้นตัวของผลประกอบการตั้งแต่ 2H66 เป็นต้นไป เราให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ฐาน PER ที่ 30 เท่าซึ่งเท่ากับ mean ในรอบ 5 ปีของ KCE ได้ราคาเป้าหมาย 61.00 บาทต่อหุ้น
11/05/2023 AU ก่อนไปคิดอะไร
  • ผลการดำเนินงานช่วงที่เหลือปีนี้และแผนขยายสาขาจะเป็นอย่างไร หลัง 1Q66 AU มีกำไรสุทธิ 34 ลบ. เติบโตเด่น 135%YoY (ใกล้เคียงที่เราคาดไว้ที่ 35 ลบ.) แรงหนุนจากยอดขายรวมที่เพิ่มขึ้น 33%YoY จากยอดขายสาขาเดิมที่โต 20.5%YoY จากฐานต่ำปีก่อนและกิจกรรมเศรษฐกิจดีขึ้น อีกทั้งรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่ม 12 สาขา จาก 1Q65 ที่มี 39 สาขา และยอดขายบางส่วนจาก 2 สาขาใหม่ที่เปิดใน มี.ค. 66 นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 63.8% ดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากมีลูกค้านั่งทานที่ร้านขนมมากขึ้น

หลังไปได้อะไร

  • AU ยังคงมีแผนขยายร้านขนมหวานภายใต้แบรนด์ After You ต่อเนื่อง โดย 2Q66 คาดจะเปิดร้านร้านขนม After You อีก 6 สาขาทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดเพื่อเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น ส่วนการขยายแฟรนไชส์แบรนด์ After You ในต่างประเทศมีแผนเปิดสาขา 2 ที่ฮ่องกงใน 2H66 และแผนเซ็นสัญญากับแฟรนไชส์ซีในประเทศกลุ่ม CLMV (คาดจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นใน 2H66) ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโตในระยะยาว
  • สำหรับปี 2566 บริษัทยังคงเป้ายอดขายรวมเติบโต 25%YoY สู่ระดับ 1.2 พันลบ. กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนนอกจากการขยายสาขาแล้ว ผลจากการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจและการเดินทางมาไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายและมีการเปิดประเทศ ยังช่วยหนุนยอดขายสาขาเดิมและมาร์จิ้นให้ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับหลังมีลูกค้าเข้ามาทานที่ร้านมากขึ้น (มาร์จิ้นดีกว่าซื้อกลับ)

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • 2Q66 คาดกำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากการมีภาวะอากาศที่ร้อนจัดและวันหยุดยาวช่วยหนุนยอดขายเมนูน้ำแข็งใสและเครื่องดื่ม อีกทั้งสินค้าที่จำหน่ายตามฤดูกาลอย่างมะยงชิดมีกระแสตอบรับที่ดีมาก ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม ส่วน 2H66 คาดกำไรจะเติบโตดีทั้ง YoY และ HoH เช่นกัน จากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นหลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว อีกทั้งจะรับรู้ยอดขายจากขยายสาขาเชิงรุก ส่วนมาร์จิ้นคาดดีขึ้นต่อเนื่อง หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีสาขาจำนวนมากและมีลูกค้าทานที่ร้านมากขึ้น
  • เรายังมีมุมมองบวกต่อ AU จากกำไรที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยปี 2566 คาดมีกำไรสุทธิ 190 ลบ. เติบโต 60%YoY และเพิ่มขึ้นสู่ 237 ลบ. เติบโตต่ออีก 24%YoY กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2567 ทั้งนี้กลยุทธ์ลงทุนยังคงแนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 13 บาท อิงวิธี DCF (WACC ที่ 6.8% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 0%)
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ การขยายสาขาและแฟรนไชส์ต่ำกว่าคาด, ธุรกิจร้านขนมหวานและร้านกาแฟแข่งขันสูง, ความเสื่อมนิยมในตัวสินค้า และ/หรือ กระแสดูแลสุขภาพที่มีมากขึ้น
11/05/2023 SNNP ก่อนไปคิดอะไร
  • SNNP รายงานผลประกอบการของ 1Q66 ตามคาด โดยรายได้อ่อนตัว QoQ จากยอดขายต่างประเทศที่ลดลงและระดับ gross margin ที่ทรงตัว
  • ทิศทาง Gross Margin จะปรับเพิ่มขึ้นได้หรือไม่หลังจากโรงงานในประเทศเวียดนามเริ่มผลิตสินค้าหลากหลายมากขึ้น

หลังไปได้อะไร

  • SNNP วางแผนออกสินค้าใหม่ในช่วง Q2-Q3 ทั้งกลุ่ม Jele ที่จะเพิ่มรสชาติใหม่ซึ่งได้ความร่วมมือมาจาก magic farm และในกลุ่ม Snack จะมีการออกรสชาติใหม่ของกลุ่ม Lotus เราคาดว่าสินค้าใหม่จะช่วยหนุนยอดขายภายในประเทศในช่วงที่เหลือของปี
  • เป้าหมายการเติบโตในปีนี้คาดต้องใช้กำลังการผลิตของโรงงานในต่างประเทศคือกัมพูชา (ปัจจุบัน Utilization ประมาณ 50%) และเวียดนาม (ช่วงต้นของการผลิตและจบครบทุกสายการผลิตปลายปี 2566) เข้ามาหนุน โดย SNNP ยังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในประเทศที่ประมาณ 15% และต่างประเทศ 30% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเรา และสัดส่วนรายได้จากในประเทศที่ 68-70% และต่างประเทศ 32-30% สำหรับบริษัทร่วมทุนคือ สิริโปร ที่มีผลขาดทุนมากขึ้นคาดต้องมีการปรับโครงสร้างและยังมีผลขาดทุนในปีนี้

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • SNNP รายงานกำไรสุทธิของ 1Q66 ที่ 154 ล้านบาท (+2% YoY และ +1.1% QoQ) ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ที่ 158 ล้านบาทโดยรายได้อ่อนตัว QoQ มาจากรายได้ยอดขายจากต่างประเทศที่หดตัว 38% QoQ จากฐานที่สูงและฤดูกาล ขณะที่รายได้ในประเทศหดตัว 1% QoQ ระดับ Gross Margin ทรงตัว QoQ แต่ดีขึ้นเล็กน้อย YoY SG&A ต่อรายได้มีสัดส่วนและมูลค่าลดลงจากกงานโฆษณาที่ลดลง
  • ใน 1Q66 SNNP ทำเป้ากำไรสุทธิได้ 2% ของประมาณการกำไรสุทธิของเราในปีนี้ที่ 692 ล้านบาทเติบโต 34% และทำฐานจุดสูงสุดใหม่
  • เราคงประมาณการรายได้ของปี 2566 ที่ 6,260 ล้านบาทเติบโต 13% สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเท่ากับ 28% มูลค่าเติบโต 30% ขณะที่รายได้จากในประเทศคาดมีสัดส่วน 72% มูลค่าเติบโต 5% ระดับ Gross Margin ปรับขึ้นเป็นลำดับในแต่ละไตรมาสและใน 2Q66 คาดแรงหนุนจากฤดูกาลจะทำให้ผลประกอบการเติบโต YoY และ QoQ
  • เราคาดว่าแนวโน้มอัตราการทำกำไรขั้นต้นใน 2H66 จะดีกว่า 1H66 เมื่อโรงงานใหม่ในประเทศเวียดนามผลิตเต็มกำลังทุกสินค้าครบโดยคาดว่ากลุ่มเบนโตะจะเริ่มผลิตช่วง 2Q66 และกลุ่ม Jele เริ่มผลิตใน 2H66
  • ความเสี่ยง การบริหารต้นทุน การบริหารโรงงานในต่างประเทศ ความผันผวนของค่าเงิน
  • เราคงคำแนะนำ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว โดยเราใช้สมมติฐาน PER ที่ 5 เท่า (+1SD) ราคาเป้าหมายปี 2566 เท่ากับ 25.50 บาท/หุ้น และเราคาดหวังที่เห็นการเปิดธุรกิจเสริมอาหารในปี 2566 เพื่อต่อยอดการเติบโตรวมไปถึงการเติบโตของตลาดต่างประเทศ
09/05/2023 TNP ก่อนไปคิดอะไร
  • ผลการดำเนินงานที่เหลือของปี 2566 จะเป็นอย่างไร หลัง 1Q66 TNP มีกำไรสุทธิ 36 ลบ. หดตัว 13.5%QoQ ตามผลฤดูกาล แต่เติบโต 1.3%YoY ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่กำไรกลับมาเติบโต YoY หลังหดตัวต่อเนื่องมา 4 ไตรมาส ปัจจับหนุนหลักมาจากยอดขายรวมที่เพิ่มขึ้น 5.7%YoY โดยแม้ยอดขายสาขาเดิมจะหดตัว 7%YoY จากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวไม่ดี แต่ถูกชดเชยจากรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสของสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น 4 สาขา (1Q66 มี 42 สาขา) เมื่อเทียบกับ 1Q65 ที่มี 38 สาขา ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.0% ทรงตัวจาก 1Q65

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร TNP มองตั้งแต่ เม.ย. บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้งและเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีการกลับบ้านเพื่อมาหาญาติผู้ใหญ่เพื่อรดน้ำดำหัว อีกทั้งยังมีการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย พะเยาและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านค้าธนพิริยะ จึงทำให้มีเม็ดเงินเดินสะพัดมาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงยังคงตั้งเป้าปี 2566 ยอดขายรวมจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10%YoY จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม 2-3%YoY รวมทั้งจากการรับรู้ยอดขายเต็มปีจากสาขาใหม่ที่เปิดปีก่อน 4 แห่ง และยอดขายบางส่วนจากสาขาใหม่ที่มีแผนเปิดปีนี้อีก 5 แห่ง (สิ้นปีนี้คาดมีสาขาทั้งสิ้น 47 แห่ง เพิ่มจากปีก่อนที่มี 42 แห่ง) โดยงบลงทุนเปิดสาขาใหม่ตั้งไว้ที่ปีละ 150 ลบ.

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • 2Q66 คาดผลการดำเนินงานจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY แรงหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่คาดพลิกบวก YoY หลังกำลังซื้อและธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งล่าสุดกิจกรรมการค้าตามด่านชายแดนเริ่มกลับมาเปิดปกติ ทำให้ลูกค้าเดิมที่หายไปมียอดคำสั่งซื้อสินค้ากลับมาค่อนข้างมากและลูกค้าที่สั่งอยู่แล้วได้สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น รวมทั้งบริษัทยังจะรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสจาก 4 สาขาใหม่ที่เปิดปีก่อน และยอดขายบางส่วนจาก 2 สาขาใหม่ที่จะเปิดในไตรมาสนี้ (เชียงใหม่และเชียงรายอย่างละ 1 แห่ง)
  • TNP เป็นหุ้นค้าปลีกขนาดเล็กที่มีศักยภาพเติบโตที่ดี โดยปี 2566 คงคาดมีกำไรสุทธิ 166 ลบ. พลิกเติบโต 11%YoY และยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยสิ้น 1Q66 ไม่มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายและมีฐานะเงินสดสุทธิราว 70 ลบ. อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside น่าสนใจจากกรอบราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 40-4.80 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 3 ปีที่ 21-23x) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2566 อีกหุ้นละ 0.09 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 2.6% กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “หาจังหวะซื้อ” เพื่อรับกำไรที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ปีนี้ไป
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแย่กว่าคาด, แผนขยายสาขาต่ำกว่าคาด
08/05/2023 AU ก่อนไปคิดอะไร
  • อยากทราบถึงแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q66 เป็นอย่างไร และความคืบหน้าของการขยายสาขายังเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทหรือไม่

หลังไปได้อะไร

  • แรงหนุนจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ รวมทั้งยังมีมาตรการช้อปดีมีคืน อีกทั้งลูกค้ายังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเข้ามาทานที่ร้านมากขึ้น (มาร์จิ้นสูงกว่าซื้อกลับ) ได้ช่วยหนุนให้ภาพรวม 1Q66 ยังอยู่ในทิศทางที่ดี (AU จะประกาศงบ 1Q66 ในวันที่ 10 พ.ค. 66) และคาดยอดขายรวมปี 2566 จะเติบโต 25%YoY สู่ระดับ 1.2 พันลบ. กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ตามเป้าหมายของบริษัทได้
  • 1Q66 AU มีการเปิดสาขาใหม่ร้าน After You อีก 1-2 สาขา (จากสิ้นปี 2565 ที่มี 51 สาขา และ 1Q65 ที่มี 39 สาขา) ส่วนทั้งปี 2566 บริษัทยังคงแผนขยายสาขาร้าน After You ในรูปแบบปกติ 5-6 สาขา, Marketplace 15-20 สาขา รวมทั้งขยายแฟรนไชส์แบรนด์ After You ในต่างประเทศ 3 สาขา (ฮ่องกงสาขาที่ 2 ใน 2Q66 และอีก 2 แห่งแถบเอเชียใน 2H66)

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • 1Q66 คาด AU จะมีกำไรสุทธิ 35 ลบ. เติบโตเด่น 142%YoY ปัจจัยหนุนจาก 1) ยอดขายรวมคาดเพิ่มขึ้น 30%YoY จากยอดขายสาขาเดิมโต 20%YoY จากฐานต่ำปีก่อนและกิจกรรมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อีกทั้งยังรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสจากสาขาใหม่ที่มีเพิ่ม 12 สาขา จาก 1Q65 ที่มี 39 สาขา และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นคาดดีขึ้นสู่ 64.0% จาก 60.5% ใน 1Q65 และ0% ใน 4Q65 จากการมีสัดส่วนยอดขายที่เกิดจากลูกค้ามานั่งทานที่ร้านมากขึ้น
  • 2Q66 คาดผลการดำเนินงานจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ หลังอากาศร้อนจัดทำให้เมนูน้ำแข็งใสและเครื่องดื่มขายดี อีกทั้งยังมีวันหยุดยาวช่วยกระตุ้นยอดขาย ขณะที่ทั้งปี 2566 คาด AU จะมีกำไรสุทธิ 190 ลบ. เติบโต 60%YoY และเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 237 ลบ. เติบโตต่อเนื่องอีก 24%YoY กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2567 ได้ตามประมาณการเดิม
  • วันนี้ (8 พ.ค.) หากราคาหุ้น AU ปรับลงมา เพราะมีการขึ้น XD เพื่อรับเงินปันผลจากกำไรปี 2565 หุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็น Yield ปีละ 1.4% กลยุทธ์ลงทุนมองเป็นโอกาสซื้อลงทุน หลังผลการดำเนินงาน AU กำลังกลับเข้าสู่ขาขึ้น โดยปี 2566-2570 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 26% และมี Upside Risk หากนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากกว่าคาด (ก่อนเกิดโควิด-19 AU มีลูกค้าจีนคิดเป็น 13% ของยอดขายรวม) ทั้งนี้เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 13 บาท อิงวิธี DCF (WACC ที่ 6.8% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 3.0%)
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ การขยายสาขาและแฟรนไชส์ต่ำกว่าคาด, ธุรกิจร้านขนมหวานและร้านกาแฟแข่งขันสูง, ความเสื่อมนิยมในตัวสินค้า และ/หรือ กระแสดูแลสุขภาพที่มีมากขึ้น
02/05/2023 IIG ก่อนไปคิดอะไร
  • อยากทราบถึงแนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 รวมถึงการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้น และในส่วนของแผนการเข้าซื้อกิจการใหม่ๆว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง

หลังไปได้อะไร

  • ในส่วนของกำไรสุทธิ 1Q66 เราคาดว่าจะลดลง 5% QoQ และ 57.8% YoY อยู่ที่ 11.6 ล้านบาท โดยไตรมาสนี้เองจะเป็นการรวมรายได้ของทาง Lansing เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก โดยในส่วนของรายได้เราคาดอยู่ที่ 250 ล้านบาท เติบโต 0.5% QoQ และ 14.1% YoY โดยการที่รายได้สามารถทรงตัว QoQ ได้มาจากการที่มีรายได้ของ Lansing เข้ามาช่วยถ้าในส่วนของ IIG เองนั้นจะยังลดลง QoQ ตาม Seasonality ของธุรกิจ ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ 15% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 18.2% เนื่องจากยังได้รับแรงกดดันจาก Project งานภาครัฐที่มีอัตรากำไรที่ต่ำอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยจากประมาณการณ์ของเราคาดว่ากำไร 1Q66 จะเท่ากับ 7.3% ของกำไรทั้งปีที่เราทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยคาดว่างบจะประกาศวันที่ 12 พ.ค.
  • ในส่วนของการเข้าซื้อกิจการนั้นบริษัทยังคงเดินหน้าหาโอกาสอย่างต่อเนื่องทั้งที่ไทยและต่างประเทศ (เวียดนาม) โดยมีโอกาสที่จะเห็นความชัดเจนในส่วนของดีลในประเทศได้ในช่วง 1H66 ในส่วนของดีลต่างประเทศนั้นคงอาจจะยังต้องใช้เวลาอีกซักพักคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ช่วง 2H66 โดยในส่วนนี้เรายังไม่ได้รวมเข้าไปในประมาณการของเรา

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรามีการปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลง 5% อยู่ที่ 83 ล้านบาท ลดลง 0.4% YoY โดยเราปรับประมาณการในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นลงอยู่ที่ 21.3% จาก 27.7% เพื่อสะท้อนในส่วนของแนวโน้มการฟื้นตัวที่อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าคาด โดยในส่วนของรายได้เรายังคงไว้ที่ 1.4 พันล้านบาทเติบโต 48.1% โดยเราเชื่อว่าภายหลังจากที่ผลประกอบการ 1Q66 ออกมาน่าจะเห็นการปรับประมาณการลงของ Consensus อีก
  • เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อนถึงแม้ว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 2% YTD เนื่องจากยังเห็น Downside ของประมาณการทั้งปีของ Consensus และผลประการที่อาจจะเติบโตติดลบในปีนี้ Valuation ปัจจุบันถือว่าซื้อขายที่ 40.6x PE ปี 2566 ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังของบริษัทถือว่ายังไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร โดยเราปรับลดราคาเป้าหมายลงอยู่ที่ 25-28.5 บาทต่อหุ้น (จาก 47 บาท) อิง 34-39x Fully diluted PE ปี 2566 เพื่อสะท้อนการเติบโตของกำไรที่น้อยกว่าคาด
  • ความเสี่ยงคือเรื่องการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นเนื่องจากเห็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดต่อกัน
02/05/2023 SNNP ก่อนไปคิดอะไร
  • คาด 1Q66 ผลจากฤดูกาลจะทำให้ยอดขายรวมในประเทศเติบโตต่ำและยอดขายต่างประเทศคาดจะชะลอตัวลงจากฐานที่สูง
  • ต้นทุนมีแนวโน้มลดลงตามทิศทางของต้นทุนหลักและราคาตลาดโลก

หลังไปได้อะไร

  • SNNP จะรายงานผลประกอบการของ 1Q66 ในวันที่ 9 พ.ค. 2566 นี้โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิจะเติบโตต่อทั้ง YoY และ QoQ โดยคงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในประเทศที่ประมาณ 15% และต่างประเทศ 30% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเรา และสัดส่วนรายได้จากในประเทศที่ 68-70% และต่างประเทศ 32-30% และมีการปรับแผนการผลิตเบนโต๊ะของโรงงานในประเทศเวียดนามจาก 3Q มาเป็น 2Q66 และอาจพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตในกัมพูชาเพื่อส่งสินค้ากลับมาประเทศไทย ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ยังไม่ได้อยู่ในประมาณการของเราและอาจทำให้เกิด Upside บน Gross Margin ใน 2H66 เป็นต้นไป

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • คาดกำไรสุทธิของ 1Q66 ที่ 158 ล้านบาท (+50% YoY และ +3.8% QoQ) โดยรายได้คาดที่ 1,502 ล้านบาท (+32.6% YoY แต่ลดลง -7.9% QoQ) ยอดขายในประเทศคาดเติบโตได้เล็กน้อยทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ด้วยปัจจัยวันหยุดและฤดูกาลกดดันยอดขายต่างประเทศอ่อนตัว QoQ แต่ยังเติบโต YoY อัตราการทำกำไรขั้นต้นฟื้นตัวดีขึ้นคาดที่ 4% ผลจากต้นทุนบรรจุภัณฑ์และวัตถุดิบที่เริ่มทรงตัว ราคาน้ำมันและต้นทุนขนส่งเริ่มลดลง
  • หากประมาณการของ 1Q66 ของเราเป็นไปตามคาดจะเท่ากับว่า SNNP ทำเป้ากำไรสุทธิได้ 8% ของประมาณการกำไรสุทธิของเราในปีนี้ที่ 692 ล้านบาทเติบโต 34% และทำฐานจุดสูงสุดใหม่ โดยเราคงประมาณการรายได้ของปี 2566 ที่ 6,260 ล้านบาทเติบโต 13%สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเท่ากับ 28% มูลค่าเติบโต 30% ขณะที่รายได้จากในประเทศคาดมีสัดส่วน 72% มูลค่าเติบโต 13.5% ระดับ Gross Margin ปรับขึ้นเป็นลำดับในแต่ละไตรมาสและใน 2Q66 คาดแรงหนุนจากฤดูกาลจะทำให้ผลประกอบการเติบโต YoY และ QoQ
  • เราคาดว่าแนวโน้มอัตราการทำกำไรขั้นต้นใน 2H66 จะดีกว่า 1H66 เมื่อโรงงานใหม่ในประเทศเวียดนามผลิตเต็มกำลังทุกสินค้าครบโดยคาดว่ากลุ่มเบนโตะจะเริ่มผลิตช่วง 2Q66 และกลุ่ม Jele เริ่มผลิตใน 2H66
  • ความเสี่ยง การบริหารต้นทุน การบริหารโรงงานในต่างประเทศ ความผันผวนของค่าเงิน
  • เราคงคำแนะนำ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว โดยเราใช้สมมติฐาน PER ที่ 5 เท่า (+1SD) ราคาเป้าหมายปี 2566 เท่ากับ 25.50 บาท/หุ้น และเราคาดหวังที่เห็นการเปิดธุรกิจเสริมอาหารในปี 2566 เพื่อต่อยอดการเติบโตรวมไปถึงการเติบโตของตลาดต่างประเทศ วันนี้ (2 พ.ค. 2566) เงินปันผลงวด 2H65 ที่ 0.23 บาท/หุ้นขึ้น จะขึ้นเครื่องหมาย XD
28/04/2023 DELTA ก่อนไปคิดอะไร
  • DELTA ประกาศกำไรสุทธิ 3.61 พันล้านบาท ต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อย 6% โดยกำไรสุทธิปรับตัวลดลง 13.7% QoQ เนื่องจาก High base ในช่วง 4Q22 และความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลก ขณะที่ Gross margin ก็ปรับตัวลดลงเหลือเพียง 20.8% ใน 1Q23 จาก 24.5% ใน 4Q22 เนื่องจากสถานการณ์ขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ (โดยเฉพาะ semiconductor) ในกลุ่มโซลูชั่นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการตั้งสำรองสินค้าคงคลังวัตถุดิบ และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นอาทิค่าแรงงาน และค่าอุปกรณ์การผลิตอื่นๆ อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ก็ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการวัตถุดิบที่ลดลงเช่นกัน ทำให้ SG&A/sale ปรับตัวลงมาเหลือ 10% ใน 1Q23 จาก 11.1% ใน 4Q22    
หลังไปได้อะไร
  • ผู้บริหาร DELTA ยังคงคาดการณ์เป้ายอดขายในรูปสกุลเงินดอลล่าร์ปีนี้จะเติบโต 15-20% (เราคาด 17%) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ EV-related นั้นที่คาดว่าจะเติบโต 25-30% ขณะที่ Data Center business จะเติบโต 10-15% ขณะที่ธุรกิจในประเทศอินเดีย (อุปกรณ์ Telecommunication 5G และ Power supply สำหรับ Data Center) ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามทาง DELTA มีการปรับลดประมาณการณ์ Gross margin ปีนี้ลงเหลือ 22-23% จากเดิม 23-24% (2565: 23.7%) เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากกว่าที่ประเมินไว้
  • เราประเมินกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 9 พันล้านบาท เติบโต 4.1% YoY ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ EV ที่มี Backlog order ค่อนข้างมาก โดยเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจำนวนมาก ทาง DELTA ได้มีการขยายพื้นที่ชั่วคราว จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิต EV-related products ได้ประมาณ 20% ในช่วง 2Q66 และจะสามารถ double capacity ได้ตั้งแต่กลางปี 2566 เป็นต้นไป โดยกำลังการผลิตของ EV-related products จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 600 ล้านเหรียญฯ (16% ของประมาณการรายได้ปี 2566) เป็นระดับ 1,200 ล้านเหรียญฯ ต่อปี ในช่วงกลางปี 2566 ขณะที่ Gross Margin คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 22.5% ในปี 2566 จาก 23.7% ในปี 2565

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q66 คาดว่าจะอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัวเล็กน้อย QoQ จากปริมาณขายผลิตภัณฑ์ EV-related ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงส่วนงานประเทศอินเดียที่เติบโตมา Gross margin สูงที่ระดับ 20% ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
  • สำหรับประเด็นเรื่องแตกพาร์ แตกพาร์เหลือ 0.1 บาทต่อหุ้น จากเดิม 1 บาทต่อหุ้น โดยจะสามารถไปซื้อขายบนราคาพาร์ใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 28 Apr เป็นต้นไปนั้น เรามองว่าราคาหุ้นได้ตอบรับประเด็นบวกนี้ไปแล้ว เราจึงมองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น DELTA จากราคาตลาดใหม่ที่จะซื้อขายวันนี้มากนัก
  • ความเสี่ยง เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงมากขึ้น ความท้าทาย และความผันผวนของค่าเงินบาท
  • เราให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ฐาน PER ที่ 52 เท่าซึ่งเท่ากับ +0.5 SD ของ PE mean ในรอบ 5 ปี นอกจากนี้หากพิจารณาคู่แข่งระดับโลก ซื้อขายที่ระดับ PE เพียง 20-30x ได้ราคาเป้าหมาย 666.00 บาทต่อหุ้น (66.6 บาท หลังแตกพาร์) โดยเราแนะนำให้หลีกเลี่ยง และระมัดระวังการลงทุน
21/04/2023 SECURE ก่อนไปคิดอะไร
  • แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 จะเป็นอย่างไร รวมถึงภาพรวมเป้าหมายทางการเงินทั้งปีที่รายได้ 1 พันล้านบาทยังมั่นใจหรือไม่ และสถานการณ์ Chip shortage เป็นอย่างไรบ้าง

หลังไปได้อะไร

  • คาดกำไรปกติใน 1Q66 อยู่ที่ 16 ล้านบาท ลดลง 4% QoQ แต่เติบโต 474% YoY โดยการลดลง QoQ เป็นผลจากปัจจัยด้านฤดูกาลเนื่องจากปกติ 4Q มันจะเป็นไตรมาสที่บริษัทรับรู้รายได้สูงสุดในแต่ละปี ในส่วนของฝั่ง YoY การเติบโตจะมาจากรายได้ที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากความต้องการด้าน Cybersecurity ที่ยังดี และอัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัว โดยเราคาดรายได้อยู่ที่ 222 ล้านบาท ลดลง 27.5% QoQ แต่เติบโตขึ้น 27.3% YoY โดยสถานการณ์ Chip shortage ที่ดูดีขึ้นทำให้บริษัทกลับมาส่งมอบงานได้ดีขึ้น ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นนั้นฟื้นตัวอยู่ที่ 18% จาก 17.4% ใน 4Q65 โดยการฟื้นตัวมาจากค่าเงินบาทที่มีความผันผวนที่ลดลง ในส่วนของ SG&A คาดว่าจะลดลง 9% YoY อยู่ที่ 20 ล้านบาท โดยอิงจากประมาณการณ์ของเรากำไร 1Q66 จะคิดเป็น 27.6% ของทั้งปีที่เราทำไว้ โดยงบจะประกาศวันที่ 11 พ.ค.
  • สถานการณ์ Chip shortage นั้นทางบริษัทชี้แจงว่าปัจจุบันใกล้เคียงภาวะปกติก่อน COVID-19 แล้ว โดยปัจจุบันระยะเวลาในการสั่งสินค้าอยู่ที่ประมาณ 60 วันจากช่วงที่แย่ที่สุดเคยยาวนานถึง 8-9 เดือน และช่วงเวลาปกติที่ 30-45 วัน ทำให้การส่งมอบงานให้ลูกค้าทำได้ดีขึ้นและการบริหารจัดการต้นทุนนั้นทำได้ดีขึ้นเช่นกัน
  • สำหรับเป้าหมายทางการเงินปี 2566 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 1 พันล้านบาทเติบโต 9% โดย Momentum ตั้งแต่ต้นปีทางผู้บริหารยังคงมั่นใจว่าเป้าหมายที่วางไว้จะสามารถบรรลุได้ ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นนั้นวางเป้าหมายไว้ไม่ต่ำกว่าปี 2565 ที่ 16.2% โดยเรายังคงประมาณการณ์ของเราในส่วนของรายได้ที่ 919 ล้านบาท เติบโต 2.8% อัตรากำไรขั้นต้นที่ 17.2% และกำไรปกติที่ 58 ล้านบาทเติบโต 28.8%

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรายังคงคำแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 20-23 บาทต่อหุ้นอิง PE ที่ 35-40x ปี 2566 โดยเรายังคงเห็นพัฒนาการเชิงบวกของแนวโน้มธุรกิจอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของรายได้หลังจากที่ภาวะ Chip shortage กลับมาใกล้ปกติ และค่าเงินบาทที่มีความผันผวนลดลง เรายังเห็น Upside ต่อประมาณการณ์ของเราเนื่องจากเรายังคาดรายได้ปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทมองไว้
  • ความเสี่ยงคือสถานการณ์ Chip shortage รวมถึงค่าเงินบาทถ้ากลับมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วอีกครั้งจะกระทบในส่วนของ Gross margin ของบริษัท
10/04/2023 ONEE ก่อนไปคิดอะไร
  • อยากสอบถามถึงแนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 ว่าจะมีทิศทางอย่างไรภายหลังจากที่ผลประกอบการ 4Q65 ยังคงลดลง QoQ และ YoY และเม็ดเงินโฆษณาภาพรวมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง YoY ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566

หลังไปได้อะไร

  • ในเชิงของภาพอุตสาหกรรมเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมของ 2 เดือนแรกปี 2566 ลดลง 10% YoY อยู่ที่ 15.8 พันล้านบาท โดยถ้าดูในส่วนของเม็ดเงินโฆษณา TV จะเห็นการปรับตัวลดลง 16.2% YoY อยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท ในส่วนที่ดูปรับตัวดีขึ้นจะเป็นในส่วนของสื่อนอกบ้านดีปรับตัวดีขึ้น 24.7% อยู่ที่ 2.3 พันล้านบาทสวนทางกับภาพรวม โดยส่วนนี้เป็นผลมาจากการที่ประชาชนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น เลยทำให้การแบ่งสัดส่วนเม็ดเงินมาที่สื่อนอกบ้านมากขึ้นและไปลดในส่วนอื่นลด
  • เนื่องจากรายได้ของโฆษณา TV เป็นรายได้หลักของ ONEE ที่ 47% ของรายได้ และเม็ดเงินโฆษณาในส่วนนี้ยังไม่เห็นการฟื้นตัวทำให้เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 1Q66 ของบริษัทน่าจะมีทิศทางที่ลดลง QoQ และ YoY โดยในส่วนของ QoQ ที่ลดลงนั้นมาจากการที่บริษัทจะไม่มี Deferred tax ที่ 62 ล้านบาทที่มีการบันทึกใน 4Q65 (ส่วนนี้เป็นบวกต่อกำไรสุทธิใน 4Q65)
  • เป้าหมายทางการเงินปี 2566 นั้นผู้บริหารมองรายได้รวมเติบโตที่ 3-5% โดยในส่วนของธุรกิจ TV จะพยายามบริหารให้ทรงตัวจากปี 2565 โดยจะเน้นการ Rerun ละครเก่าในช่วงที่เม็ดเงินโฆษณา TV ยังไม่กลับมา ปีนี้เอง ONEE จึงพยายามที่จะเน้นในส่วนของธุรกิจ Event และ Artist management มากขึ้น จะพยายามที่จะรักษา GPM ให้ใกล้เคียงปีที่แล้วที่ 42%

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรามีการปรับกำไรปี 2566 ลง 36.6% อยู่ที่ 696 ล้านบาท ลดลง 5.7% YoY เรามีการปรับลดรายได้ลง 7.4% และ GPM ลงอยู่ที่ 41.1% จาก 46.1% เพื่อสะท้อนแนวโน้มโฆษณา TV ที่ยังไม่ฟื้นตัวและเป็นธุรกิจที่มี GPM สูงที่ 40% เรามองว่ากำไรที่ Consensus ทำไว้ยังมี Downside และคาดว่าจะเห็นการปรับประมาณการณ์ลงภายหลังจากงบ 1Q66
  • ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 17.2% YTD ซึ่งสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว และซื้อขายอยู่ที่ระดับ -2SD ในเชิงของ PE ทำให้ Downside ค่อนข้างที่จะจำกัด แต่ยังขาดปัจจัยบวกระยะสั้นในเรื่องของเม็ดเงินโฆษณา TV ที่ยังไม่ฟื้นตัว เราจึงแนะนำนักลงทุนระยะกลางใช้จังหวะนี้ทยอยสะสมที่แนวรับที่ราคา 5.5 บาท เพื่อรอการฟื้นตัวของผลประกอบการครึ่งปีหลัง เราให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 7.1 บาทต่อหุ้น (จาก 12-12.5) อิง 24.4x PE ปี 2566 หรือ -1SD จากค่าเฉลี่ยในอดีต (จาก 26-27x PE) เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ยังไม่สดใสใน 1H66
  • ความเสี่ยงคือ การฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา TV
24/03/2023 HTC ก่อนไปคิดอะไร
  • คาดว่าฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วง 1Q66 และฤดูร้อนใน 2Q66 รวมถึงเศรษฐกิจภาคใต้ที่ฟื้นตัวเด่นจะส่งผลบวกต่อยอดขายเครื่องดื่มของ HTC ขณะที่ยอดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นโครงการแรกจะหนุนรายได้และเริ่มเป็นกำไรสุทธิในปีนี้ ส่วนของต้นทุนแม้จะเริ่มมีการปรับใช้ภาษีน้ำตาล เฟส 3 ในเดือน เม.ย. 2566 แต่คาดว่าการปรับสูตรและการปรับราคาขายขึ้นมาแล้วใน 3Q65 และต้นทุนอื่นๆ ที่เริ่มลดลงจะส่งผลกระทบต่อกำไรค่อนข้างจำกัด

หลังไปได้อะไร

  • HTC ตั้งเป้ารายได้ของปี 2566 เติบโต 6-8% โดยเน้นการขายและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มในพื้นที่การท่องเที่ยว การออกสินค้าใหม่ยังคงเป็นกลุ่ม Zero Sugar และตั้งเป้าสัดส่วนการตลาดของตลาด NARTD (Non-Alcoholic Ready-to-Drink) ที่ 26% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ 5%
  • โครงการอสังหาริมทรัพย์ Haven Karnjanavanich คาดจะสามารถมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาทจากมูลค่าโครงการประมาณ 300 ล้านบาทมียอดจองแล้ว 13 ยูนิตหรือมี Backlog แล้วประมาณ 65 ล้านบาท

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เราคงมุมมองที่เป็นบวกต่อการเติบโตของ HTC ในปี 2566 โดยคงประมาณการการเติบโตของรายได้ที่ 6% YoY เท่ากับ 7,505 ล้านบาทโดยประเมินว่าทั้งปริมาณการขายและราคาขายจะทำได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา หนุนด้วยภาคการบริโภคและการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในภาคใต้ และเราคาดรายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ประมาณ 100 ล้านบาท หรือ 3% ของรายได้รวม ขณะที่อัตราการทำกำไรขั้นต้นคาดที่ 40% ทรงตัวจากปีที่ผ่านมา แต่เรามองว่าโอกาสเกิด Upside หากทิศทางราคาน้ำมันและต้นทุนค่าขนส่งอ่อนตัวลงต่อเนื่องในปีนี้ ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิเติบโต 20% YoY เท่ากับ 522 ล้านบาท
  • ทิศทางผลประกอบการของ 1Q66 คาดว่ารายได้และยอดขายรวมจะเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและราคาขายใหม่ โดยบริษัทคาดการเติบโตที่ไม่น้อยกว่า 10% อย่างไรก็ตามในปลายปี 2565 HTC มีการยกเลิกกิจการของบริษัทย่อย 3 แห่งทำให้มีการบันทึกด้อยค่าและค่าใช้จ่ายเข้ามาใน 4Q65 และจะมีเหลือมาบันทึกบางส่วนใน 1Q66 แต่เราคาดว่าจะไม่เป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการของ 1Q66 และใน 1Q66 นี้คาดว่า HTC จะสามารถบันทึกรายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ประมาณ 3 หลังหรือ 17 ล้านบาท
  • ความเสี่ยงและความกังวล ต้นทุนวัตถุดิบหลักราคาผันผวน เงินเฟ้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภค
  • คงคำแนะนำ ซื้อ HTC ราคาเป้าหมายปี 2566 เท่ากับ 36 บาท/หุ้น ด้วยเป้า PER ที่ 14 เท่า เราชอบที่ HTC เป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและให้ตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 5% ต่อปี และ HTC มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดย HTC ประกาศเงินปันผลงวด 2H66 ที 97 บาทต่อหุ้น (รวมทั้งปี 1.52 บาทต่อหุ้น) คิดเป็นผลตอบแทน 3% ขึ้น XD วันที่ 2 พ.ค. 2566
21/03/2023 AMATA ก่อนไปคิดอะไร
  • มองการติบโตของยอดขายที่ดินในปี 2566 จะโดดเด่นจากการเปิดการเดินทางจากประเทศจีน รวมถึงแนวโมการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่เป็นกลุ่มเติบโตสูง เช่น Renewable Energy, Data Center และกลุ่มยานยนต์

หลังไปได้อะไร

  • AMATA ตั้งเป้าการขายที่ดินในปีนี้ที่ 2,250 ไร่ซึ่งเติบโตสูง 224% YoY และบริษัทมีความมั่นใจเนื่องจากเห็นอุปสงค์จากฐานลูกค้าที่อยู่ในมือรวมถึงการออกเอกสารแสดงความจำนงค์ไว้แล้วจำนวนหนึ่ง โดยแบ่งเป็นยอดขายที่ในประเทศไทย 1,500 ไร่ เติบโต 131% YoY และยอดขายจากประเทศเวียดนาม 750 ไร่เติบโตจาก 45 ไร่ในปี 2565 นอกจากนีคาดว่าในปีนี้จะเริ่มมียอดขายที่ดินจากนิคมฯ ใหม่ในประเทศ สปป. ลาว เข้ามา 200-300 ไร่

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรายังคงมีมมุมมองที่เป็นบวกต่อภาคนิคมอุตสาหกรรมของไทย และคาดว่าประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายของนักลงทุนโดยพื้นที่ภาคตะวันออกและ EEC คาดจะเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว และเรามองว่า AMATA เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ที่เข้ามา โดยในปีนี้ AMATA ยังใช้เงินลงทุนเพิ่มที่ดินประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตดี เช่น กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ Renewable Energy, Data Center และอาหารสัตว์ส่งออก ซึ่งเราเชื่อว่า AMATA มีจุดเด่นที่ระบบสาธารณูปโภคและ Strategic Location
  • AMATA มี Backlog ในมือแข็งแกร่งที่ประมาณ 6,685 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถบันทึกรายได้ในปี 2566 ประมาณ 60% ดังนั้นเราคาดรายได้ของปี 2566 ที่ 7,699 ล้านบาท (+18% YoY) และกำไรสุทธิที่ 1,815 ล้านบาท (-22.5% YoY) โดยหากลบรายการกำไรจากการขายโรงงานในประเทศเวียดนามในปี 2565 ที่ 1,360 ล้านบาท จะส่งผลให้ Core Profit เติบโต 85% YoY
  • ความเสี่ยง : ทิศทางเศรษฐกิจโลก ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และติดตามโอกาสและความเสี่ยงของการย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรม
  • เราให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ฐาน PER ที่ 17 เท่าซึ่งเท่ากับ +0.25SD ในรอบ 7 ปีของ AMATA ได้ราคาเป้าหมาย 50 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยแนวโน้มการกลับมาเติบโตโดดเด่นของอุปสงค์ในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ศักยภาพการทำกำไรของบริษัท การบริหารโครงสร้างรายได้ที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีทั้งที่มาของรายได้ และ ที่ตั้งของนิคมทั้งหมด และ AMATA มีการประกาศจ่ายเงินปันผลของ 2H65 ที่ 0.40 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 3 พ.ค. 2566 (รวมทั้งปี 0.60 บาท/หุ้น)
07/03/2023 HANA ก่อนไปคิดอะไร
  • HANA ประกาศกำไรสุทธิที่ 1,075 ล้านบาท มากกว่าตลาดคาดไว้ที่ 630 ล้านบาท หลักๆ มาจากรายการพิเศษกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 360 ล้านบาท และกำไรจากตราสารอนุพันธ์ 154 ล้านบาท โดยหากตัดรายการพิเศษออกไป Core earnings ออกมาค่อนข้างอ่อนแอที่ 586 ล้านบาท ลดลง 3% qoq จากรายได้ที่ลดลงกว่า 5.6% QoQ (รายได้ดอลล่าร์ลดลง 4% QoQ) ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากใน 4Q65 รวมถึง demand ที่ชะลอตัวลงใน 4Q65 ทั้งในส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ PCBA และ IC ซึ่งสะท้อนความต้องการในผลิตภัณฑ์ PC และมือถือที่ชะลอตัวลงทั่วโลก

หลังไปได้อะไร

  • แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 1Q66 คาดว่าจะอยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลง QoQ โดยยังได้รับผลกระทบจากลูกค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ และ Smartphone ที่มีคำสั่งซื้อที่ชะลอตัวลง ตามความกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สินค้าคงเหลือที่มาก รวมถึงยังมีแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ 1Q66 ยังมีผลกระทบจากโรงงานจีนที่ผลิตไม่ได้เต็มที่จากการแพร่ระบาดเชื้อ COVID และการหยุดยาวช่วงตรุษจีน โดยรวมทำให้อัตราการทำกำไรอ่อนแอลงเช่นกัน สำหรับการเพิ่มทุน PP จำนวน 5 ล้านหุ้น (10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) นั้น ต้องรออนุมัติผู้ถือหุ้นก่อน แล้วจะพิจารณาขายให้กับนักลงทุนสถาบัน หรือรายอื่น รวมกันไม่เกิน 50 ราย คาดว่าจะมี dilution effect ไม่มาก (ประมาณ 1%) เนื่องจาก HANA กำหนดราคาขาย PP จะมีส่วนลดได้ไม่เกิน 10% จากราคาตลาดในช่วงนั้น ซึ่งเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน เบื้องต้นคาดว่าจะนำมาเป็นเงินลงทุนในธุรกิจใหม่อย่าง Silicon Carbide เป็นหลัก

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรามองว่าแนวโน้มกำไรจากการดำเนินของ HANA จะค่อนข้างมีความท้าทาย (คาดว่าจะลดลง 4% YoY) ในปี 2566 จากปริมาณความต้องการสินค้าหลักในกลุ่ม PC และ Smartphone ต้นทุนวัตถุดิบที่แพง (ซื้อในช่วงค่าเงินบาทอ่อน) และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ขึ้น จะมากระทบอัตราการทำกำไรในช่วง 1H66 แม้ว่าคาดว่าปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ RFID Inlay ที่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ Walmart ที่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจำนวนมาก สอดรับกับข่าวที่ทาง Walmart ได้ประกาศชัดเจนว่าจะมีแผนจะเปลี่ยนระบบจาก Barcode เป็น RFID tag ทั้งหมด และธุรกิจ Silicon Carbide แต่สัดส่วนรายได้และกำไรยังค่อนข้างเล็ก เรามองว่าภาพการฟื้นตัวของกำไร จะอยู่ในช่วง 2H66 หลังจากที่ HANA ขยายกำลังการผลิต RFID inlay (Phase ที่ 2 จะเสร็จกลางปี 2566) และติดตั้งอุปกรณ์ของธุรกิจ Silicon Carbide เสร็จช่วงกลางปี 2566 เช่นกัน
  • ความเสี่ยง เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงมากขึ้น ความท้าทาย และความผันผวนของค่าเงินบาท
  • เราให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ฐาน PER ที่ 20 เท่าซึ่งเท่ากับ mean ในรอบ 5 ปีของ HANA ได้ราคาเป้าหมาย 00 บาทต่อหุ้น โดยราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าอยู่ระดับใกล้เคียงกับมูลค่าพื้นฐาน เราจึงแนะนำเพียงถือ
28/02/2023 SFT ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 มีเป้าหมายเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 SFT มีกำไรสุทธิ 0.08 ลบ. หดตัวเกือบ 100% YoY โดยแม้ยอดขายโต 13%YoY จากคำสั่งผลิตที่เพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่มและยา รวมทั้งมีการปรับขึ้นราคาขายบางส่วน แต่ถูกหักล้างด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่หดตัวเป็น 15.7% จาก 8% ใน 4Q64 หลังต้นทุนพลาสติกสูงขึ้นตามราคาน้ำมันและบาทอ่อนค่า อีกทั้ง SG&A ยังสูงขึ้น 4.4%YoY หลังมีค่าย้ายเครื่องจักรและค่าแรงเพิ่มขึ้นตามจำนวนพนักงาน ทำให้ปี 2565 มีกำไรสุทธิเพียง 63 ลบ. หดตัว 44%YoY ต่ำกว่าเราและตลาดคาด

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร SFT ตั้งเป้าปี 2566 มียอดขายแตะ 1 พันลบ. แรงหนุนหลักจะมาจากการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้บริษัทมีไปออกงานแสดงสินค้าอย่างน้อย 4 งาน ซึ่งคาดจะช่วยหนุนคำสั่งผลิตฉลากให้ยังเติบโตได้ดี อีกทั้งยังจะมีการรับรู้ผลบวกจากการปรับขึ้นราคาขายและยอดขายของสินค้าใหม่อย่างบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (Green Shirk) ซึ่งยังมีคู่แข่งในตลาดไม่มากและจะตอบโจทย์แก่ลูกค้าเก่ากลุ่มอาหารและสินค้าในครัวเรือนที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ทั้งนี้ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนไว้ที่ 80 ลบ.
  • ด้านต้นทุนวัตถุดิบคาดจะปรับลงชัดเจนตั้งแต่ปลาย มี.ค. 66 หลังช่วงต้นปีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นและราคาน้ำมันปรับลง ซึ่งทำให้ราคาวัตถุดิบลดลงจาก 2H65 อีกทั้งยังติดตั้ง Solar Rooftop (600KW) เพื่อลดค่าไฟฟ้า 20-30%YoY ซึ่งคาดเริ่มเห็นผลตั้งแต่ เม.ย. 66 ทั้งนี้บริษัทยังเน้นบริหารต้นทุนเพื่อให้ได้ Net Margin ไม่ต่ำกว่า 10%

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • แม้ปี 2566 คาด SFT จะมียอดขายเติบโตดี YoY จากมีคำสั่งผลิตฉลากเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อีกทั้งรับรู้ผลบวกจากปรับขึ้นราคาขายและยอดขายสินค้าใหม่อย่างบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนซึ่งเป็น green packaging ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) แต่ด้วยสต็อกต้นทุนวัตถุดิบหลัก (PET, PVC) ที่คาดยังกดดันกำไร 1Q66 ให้อ่อนแอ YoY ซึ่งแย่กว่าที่คาดไว้เดิมว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไรตั้งแต่ 1Q66 เพื่อยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการกำไรลง 25% อย่างไรก็ดีภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 SFT จะมีกำไรสุทธิ 86 ลบ. ยังพลิกเติบโต 36%YoY
  • แม้ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น SFT จะปรับลงสะท้อนกำไรปี 2565 ที่แย่กว่าคาดจากต้นทุนที่สูงขึ้นแล้ว ขณะที่ปี 2566 คาดกำไรพลิกโต YoY ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฐานปีก่อนที่ต่ำ แต่ 1Q66 กำไรยังไม่สดใสและราคาหุ้นมี Upside จำกัดจากกรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 ที่หุ้นละ 4.90-5.10 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER กลุ่ม Packaging ล่าสุดที่ 25-26 เท่า) ช่วงสั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” เพื่อรับปันผลและรอดูการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน โดยบริษัทแจ้งจ่ายปันผลจากกำไรปี 65 หุ้นละ 07 บาท (XD 8 มี.ค.) คิดเป็น Div. Yield 1.4%
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ต้นทุนวัตถุดิบ (PVC, PET) สูงขึ้น และบาทอ่อนกดดันศักยภาพทำกำไร
24/02/2023 III ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 ตั้งเป้าการเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 III มีกำไรสุทธิ 418 ลบ. เติบโต 267%YoY แต่หากไม่รวมรายการพิเศษที่บันทึกไตรมาสนี้ หลักๆ คือกำไรพิเศษปรับมูลค่าเงินลงทุนใน Asia GSA (M) 322 ลบ. และตั้งสำรองหนี้สูญสายการบินแห่งหนึ่ง 52 ลบ. จะมีกำไรปกติ 169 ลบ. เติบโต 47%YoY โดยแม้รายได้รวมลดลง 45%YoY ตามการลดลงของรายได้ทุกธุรกิจหลังมีปริมาณและค่าขนส่งลดลง นำโดย Logistics (-59%YoY), Sea freight (-44%YoY), Air freight (-42%YoY) และ Chemical (-18YoY) แต่ยังชดเชยได้ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นหลังบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น จึงหนุนให้ปี 2565 III มีกำไรปกติราว 551 ลบ. เติบโต 48%YoY (แต่หากรวมรายการพิเศษสุทธิทั้งปี 2565 III จะมีกำไรสุทธิ 796 ลบ. เติบโต 111%YoY)

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร III ตั้งเป้าปี 2566 เติบโต 15-20%YoY จาก Inorganic เป็นหลัก ขณะที่ Organic มองจะมาจากธุรกิจ Air freight ซึ่งคาดมีปริมาณขนส่งเพิ่มขึ้น หลังมีพื้นที่ระวางสินค้าเพิ่มขึ้นจากจำนวนเที่ยวบินที่ฟื้นตัว ส่วน Logistics มีแผนขยายลูกค้าเพิ่มในกลุ่มที่มีศักยภาพเติบโต (อาทิกลุ่ม Green Energy, ยาและเวชภัณฑ์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น) ควบคู่กับบริหารต้นทุน และ Chemical จะขยายคลังสินค้าเคมีเพิ่มอีก 3 พัน ตร.ม. ขณะที่ Sea freight จะพยายามประคองผลงานจากการขยายลูกค้าทดแทนค่าระวางที่ลง
  • ปี 2566 III คาดส่วนแบ่งกำไรเงินทุนจะเติบโตเด่น หลักๆ จากรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ANI เพิ่มขึ้นหลังสิ้นปีก่อนได้อนุมัติให้บ.ย่อย ANI ซื้อหุ้นอีก 80% ของ ASIA GSA (M) จากที่มีอยู่เดิม 20% และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก AOTGA เพิ่มขึ้นหลังการให้บริการด้านกราวด์เซอร์วิสในสนามบินภูเก็ต และสนามบินดอนเมือง มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เพื่อสะท้อนการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มปีจาก ASIA GSA (M) หลัง ANI เข้าไปถือหุ้นทั้งหมด 100% ซึ่งยังไม่อยู่ในประมาณการเดิม เราจึงมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 III จะมีกำไรปกติ 681 ลบ. เติบโต 23.6%YoY (แต่กำไรสุทธิจะลดลง 4%YoY จากปี 2565 มีรายการพิเศษสุทธิราว 245 ลบ.)
  • แม้เราประเมินกรอบราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 16.90-17.70 บาท (อิงค่าเฉลี่ยย้อนหลังล่าสุด PER 20-21x และอิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจาก RO และใช้สิทธิแปลงสภาพ III-W1 เต็มจำนวน) ยังมี Upside เกิน 15% และมีเงินปันผลจ่ายจากกำไร 2H65 หุ้นละ 0.40 บาท (XD 24 เม.ย.) คิดเป็น Yield 2.9% อีกทั้งมีสิทธิรับจัดสรรหุ้น ANI ซึ่ง III จะยื่นไฟลิ่ง 2Q66 และคาดเสนอขาย IPO 3Q66 แต่ช่วงสั้นดีมานด์และค่าระวางยังมีความเสี่ยงถูกกดดันจากการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “หาจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ไม่ต้องไล่ราคา” เพื่อเพิ่มแต้มต่อการลงทุน ทั้งนี้เทคนิคให้แนวรับที่ 13.30/12.80 บาท
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน, การล็อกดาวน์เข้มงวดของจีนเพื่อคุมการระบาดของ COVID-19, การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความผันผวนของค่าระวาง
23/02/2023 SNNP ก่อนไปคิดอะไร
  • ผลประกอบการ 4Q65 ที่ 152 ล้านบาท (+26% YoY, +2% QoQ) ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 162 ล้านบาทไปประมาณ 6% จาก SG&A ที่สูงกว่าคาด โดยรายได้ของ 4Q22 เท่ากับ 1,632 ล้านบาท (+35% YoY, +11.2% QoQ) เติบโตได้ดีทั้งรายได้จากในประเทศและต่างประเทศ ที่ 67 : 33 ซึ่งการเติบโของรายได้ต่างประเทศใน 4Q22 ทำได้ดีที่ +52% YoY และ +34% QoQ. อัตราการทำกำไรขั้นต้นฟื้นตัวจากต้นทุนหลักที่เริ่มลดลงและการปรับขนาดของสินค้าที่ทำต่อเนื่องมา ขณะที่ SG&A/Sales สูงขึ้นจากค่าขนส่งและการตลาด กำไรสุทธิของปี 2022 เท่ากับ 516 ล้านบาท (+18% YoY) ต่ำกว่าที่คาดไว้ที 525 ล้านบาทเล็กน้อย
  • คาด 1Q66 ผลจากฤดูกาลจะทำให้ยอดขายรวมอ่อนตัวลง QoQ

หลังไปได้อะไร

  • ในปี 2566 SNNP ตั้งเป้าเติบโตของยอดขายทั้งในประเทศที่ประมาณ 15% และต่างประเทศ 30% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเรา โดยนอกเหนือไปจากการเปิดโรงงานใหม่ที่ประเทศเวียดนามแบบเต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 2566 แล้ว SNNP จะเริ่มส่งออกไปประเทศอื่นเพิ่มเติม เช่น เกาหลี ไต้หวัน ฟิลิปปินส์

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เราคาดรายได้ปี 2566 เติบโต 13% YoY เท่ากับ 6,260 ล้านบาท สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเท่ากับ 28% มูลค่าเติบโต 30% ขณะที่รายได้จากในประเทศคาดมีสัดส่วน 72% มูลค่าเติบโต 5% การออกสินค้าใหม่ในปีนี้จะเป็นรูปแบบของการปรับขนาดบรรจุภัณฑ์และรสชาติใหม่ๆ
  • ขณะที่เราคาดว่าทิศทางของต้นทุนหลักในปี 2566 โดยเฉลี่ยจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาและคาดอัตราการทำกำไรขั้นต้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 8% จากปี 2565 ที่ทำได้ที่ 27.3% โดยจะเป็นการปรับขึ้นเป็นลำดับในไตรมาสโดยได้ต้นทุนต่ำจากการผลิตในเวียดนาทเป็นปัจจัยหนุน โดยคาดว่าแนวโน้มของอัตราการทำกำไรขั้นต้นใน 2H66 จะดีกว่า 1H66 เมื่อโรงงานใหม่ในประเทศเวียดนามผลิตเต็มกำลังทุกสินค้าครบโดยคาดว่ากลุ่มเบนโตะจะเริ่มผลิตช่วง 2Q66 และกลุ่ม Jele เริ่มผลิตใน 2H66
  • ทิศทางของผลประกอบการ 1Q66 คาดรายได้อ่อนตัวลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่กำไรสุทธิมีโอกาสทรงตัว QoQ จากค่าใช้จ่ายการตลาดที่คาดว่าจะไม่สูงเท่ากับใน 4Q54
  • ความเสี่ยง การบริหารต้นทุน ความผันผวนของค่าเงิน
  • เราคงคำแนะนำ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว โดยเราใช้สมมติฐาน PER ที่ 5 เท่า (+1SD) ราคาเป้าหมายปี 2566 เท่ากับ 25.50 บาท/หุ้น และเราคาดหวังที่เห็นการเปิดธุรกิจเสริมอาหารในปี 2566 เพื่อต่อยอดการเติบโตรวมไปถึงการเติบโตของตลาดต่างประเทศ SNNP ประกาศเงินปันผลงวด 2H65 ที่ 0.23 บาท/หุ้นขึ้น XD วันที่ 2 พ.ค. 2566 ผลตอบแทน 1%
22/02/2023 WICE ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 มีเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 WICE มีกำไรสุทธิ 95 ลบ. หดตัว ต่อเป็นไตรมาสที่สองราว 47%YoY เนื่องจากมีรายได้รวมลดลง 45%YoY โดยแม้ธุรกิจ Supply Chain Solutions จะเติบโต 15%YoY หลังมีพื้นที่คลังสินค้าเพิ่ม 5 หมื่นตร.ม. แต่ถูกหักล้างด้วยการปรับลงของธุรกิจ Sea freight (-63%YoY) ธุรกิจขนส่งบกข้ามแดน CBS (-32%YoY) และธุรกิจ Air freight (-23%YoY) ซึ่งหลักๆ เกิดจากค่าขนส่งและปริมาณขนส่งที่ลดลง ทำให้ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 554 ลบ. เติบโต 3.5%YoY ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร WICE ตั้งเป้าปี 2566 เติบโตที่ 15-20%YoY โดยมองตั้งแต่ 2Q66 ปริมาณขนส่งและค่าระวางจะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าหลัก อีกทั้งปีนี้ยังมีแผนร่วมมือกันในเครือข่ายเพื่อขยายปริมาณขนส่ง เพิ่มพื้นที่คลังสินค้าเช่าอีก 3.4 หมื่นตร.ม. (จากปี 65 มี 3.88 หมื่นตร.ม.) และร่วมมือกับคู่ค้าใหม่เพื่อขยายธุรกิจโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง อาทิ จับมือ SAT เพื่อพัฒนาโครงการ Green Logistics Hub ที่บางนาและระยอง (คาดได้ข้อสรุปปลายปี), จับมือ N-Squared เพื่อจัดการคลังสินค้าแบบพร้อมส่งและขยายฐานลูกค้าเดิมไปยังกลุ่ม B2B2C ขณะที่อัตรากำไรสุทธิตั้งเป้ารักษาที่ระดับ 7% ใกล้กับปีก่อน
  • บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโต 3 ปีข้างหน้า (ปี 2566-68) จะเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2565 โดยจะเน้นไปที่การขยายตัวของธุรกิจหลักทั้งขนส่งทะเล อากาศและ CBS ขณะที่งบลงทุนตั้งไว้ที่ปีละ 200 ลบ.สำหรับทำดีล JV และ M&A ส่วนแผนนำ บ.ร่วมทุน ETL ซึ่งดำเนินธุรกิจ CBS (ถือ 51%) เข้า MAI ได้เตรียมยื่นไฟลิ่ง มี.ค. นี้และคาดจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ใน 3Q66

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • ตั้งแต่ต้นปีปริมาณขนส่งยังแย่กว่าคาด หลังคู่ค้าหลักในสหรัฐฯ อยู่ในช่วง Over Inventory และค่าขนส่งยังลดลงทั้ง YoY และ QTD อีกทั้งความกังวลการถดถอยของเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มกดดันดีมานด์ขนส่งชะลอตัว เพื่อยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการลง โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 WICE จะมีกำไรสุทธิ 520 ลบ. หดตัว 6.2%YoY
  • แม้ WICE เป็นหุ้นโลจิสติกส์ที่ให้บริการครบวงจรและมีเครือข่ายรองรับทุกประเทศการค้าสำคัญ ซึ่งคาดมีศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาว แต่ภายใต้กรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่หุ้นละ 10.50-11.20 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER 13-14 เท่าเช่นเดิม) ซึ่งมี Upside จำกัด และ 1H66 คาดกำไรยังชะลอตัว YoY ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงยังคงแนะนำ “ถือ” เพื่อรับปันผล โดยบริษัทประกาศจ่ายปันผลจากกำไรปี 2565 หุ้นละ 0.44 บาท (XD 8 มี.ค.) คิดเป็น Yield 4.2% และรอรับสิทธิจัดสรรหุ้น IPO ของ ETL ที่กำลังจะเสนอขาย IPO ใน ตลท.
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-จีน, การล็อกดาวน์เข้มงวดของจีนเพื่อคุมการระบาดของ COVID-19, การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความผันผวนของค่าระวาง
22/02/2023 AU ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 มีเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 AU ทำกำไรสุทธิสูงสุดของปี 2565 ที่ 36 ลบ. (ใกล้เคียงที่เราคาดไว้ 34 ลบ. แต่ต่ำกว่าตลาดคาด) เติบโต 7.6%QoQ ตามฤดูกาล และเพิ่มขึ้นจาก 3 ลบ. ใน 4Q64 โดยแม้ SG&A สูงขึ้น 30%YoY จากมีจ่ายโบนัสและค่าจ่างพิเศษทำงานช่วงปีใหม่ 4-5 ลบ. แต่ถูกชดเชยด้วยยอดขายที่โต 40%YoY หลังมีลูกค้าเข้าร้านมากขึ้นและรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ รวมทั้งมาร์จิ้นยังดีขึ้นจากลูกค้าทานที่ร้านมากขึ้น จึงหนุนให้ปี 2565 AU มีกำไรสุทธิ 118 ลบ. เพิ่มขึ้นจาก 4 ลบ. ในปี 2564 ใกล้เคียงที่เราคาด

หลังไปได้อะไร

  • บริษัทตั้งเป้าปี 2566 มียอดขายรวมเติบโต 25%YoY สู่ระดับ 1.2 พันลบ. กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 แรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม และการรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ ซึ่งปีนี้มีแผนขยายสาขาร้าน After You ในรูปแบบปกติ 5-6 สาขา, Marketplace 15-20 สาขา (1H66 จะเปิดสาขาปกติ 3 สาขา และ Marketplace 5 สาขา) รวมทั้งขยายแฟรนไชส์แบรนด์ After You ในต่างประเทศ 3 สาขา (ฮ่องกงสาขาที่ 2 ใน 1H66 และอีก 2 แห่งแถบเอเชียใน 2H66) และแบรนด์ Mikka ในไทย 150 สาขา เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • 1Q66 คาดกำไรจะยังเติบโตเด่น YoY ปัจจัยหนุนทั้งจากมีฐานปีก่อนที่ยังต่ำ และตั้งแต่ต้นปีนี้บรรยากาศจับจ่ายใช้สอยยังดีขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่เดินทางท่องเที่ยวไทยมากขึ้น รวมทั้งยังมีมาตรการช้อปดีมีคืนช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย สะท้อนได้จาก ม.ค. 66 AU มียอดขายสาขาเดิมเติบโตเด่น 30%YoY
  • เรายังคงประมาณการเดิม โดยปี 2566 คาด AU จะมีกำไรสุทธิ 190 ลบ. (+56%YoY) และแตะ 237 ลบ. (+24%YoY) กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2567 ตามการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมหลังกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติ การออกสินค้าใหม่และการรับรู้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากขยายสาขาเชิงรุก ส่วนมาร์จิ้นคาดดีขึ้นหลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีสาขาจำนวนมากและการกลับมาทานที่ร้านมากขึ้น (มาร์จิ้นดีกว่าซื้อกลับและ Delivery)
  • AU เป็นหุ้นเล็กที่กำไรกลับเข้าสู่ขาขึ้น โดยปี 2566-2570 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 25% และยังมี Upside Risk หากนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยมากกว่าคาด (ก่อนเกิดโควิด-19 AU มีลูกค้าจีนคิดเป็น 13% ของยอดขายรวม) ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 13 บาท (อิงวิธี DCF) และล่าสุดบริษัทกลับมาจ่ายเงินปันผลอีกครั้งจากกำไรปี 2565 หุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็น Yield ปีละ 1.3% (XD 8 พ.ค.) ซึ่งสูงกว่าที่เราคาดไว้ที่หุ้นละ 0.07 บาท ทั้งนี้เทคนิคมีแนวรับ 11.60/11.30 บาท
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ การขยายสาขาและแฟรนไชส์ต่ำกว่าคาด, ธุรกิจร้านขนมหวานและร้านกาแฟแข่งขันสูง, ความเสื่อมนิยมในตัวสินค้า และ/หรือ กระแสดูแลสุขภาพที่มีมากขึ้น
21/02/2023 TNP ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 ตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 TNP มีกำไรสุทธิ 42 ลบ. เติบโต 13.1%QoQ ตามผลฤดูกาล แต่หดตัว 21.5%YoY จากฐานปีก่อนที่สูงเนื่องจากมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐทั้งคนละครึ่งเฟส 3 และเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นเริ่มดูดีขึ้น โดยอยู่ที่ 17.3% ทรงตัวจาก 4Q64 และสูงขึ้นจาก 9% ใน 3Q65 หลังบริหารสต็อกสินค้าได้ดีและมียอดขายเพิ่มในสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง หนุนให้ปี 2565 TNP มีกำไรสุทธิ 149 ลบ. ลดลง 22.4%YoY ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราคาด แต่ตำกว่าที่ตลาดคาด

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร TNP เผยปี 2566 ตั้งเป้ายอดขายรวมไม่น้อยกว่า 10%YoY แรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม 2-3%YoY หลังมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากขึ้นในจังหวัดเชียงราย พะเยาและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านค้าธนพิริยะ ส่วนที่เหลือจะเป็นการรับรู้ยอดขายจากสาขาใหม่ที่มีแผนขยายสาขาต่อเนื่องปีละ 5 แห่ง (สิ้นปีนี้คาดมีสาขาทั้งสิ้น 47 แห่ง เพิ่มจากปีก่อนที่มี 42 แห่ง) โดยงบลงทุนเปิดสาขาใหม่ตั้งไว้ที่ปีละ 150 ลบ.
  • บริษัทยังมีแผนเพิ่มศักยภาพทำกำไรให้สูงขึ้นด้วยการเพิ่มสินค้าใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงเข้ามาจำหน่ายและจะบริหารต้นทุนสินค้าด้วยการสต็อกสินค้ารอขายให้เพียงพอเพื่อลดต้นทุนให้ไม่แพงมากเกินไป โดยยังคงตั้งเป้ามีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 17% อีกทั้งปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับซัพพลายเออร์ในการกระจายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร เพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • 1Q66 คาดจะเป็นจุดเริ่มต้นที่กำไรปกติกลับมาเติบโต YoY หลังหดตัวต่อเนื่องมา 4 ไตรมาสปัจจัยหนุนจากยอดขายสาขาเดิมที่คาดพลิกบวก YoY หลังได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐทั้งการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเดือน ม.ค. อีก 200 บาท เป็น 400-500 บาท และโครงการช้อปดีมีคืน อีกทั้งธุรกิจท่องเที่ยวในเชียงรายยังสดใส ขณะที่ทั้งปี 2566 เราคงคาด TNP มีกำไรสุทธิ 166 ลบ. พลิกเติบโต 11%YoY ตามประมาณการเดิม
  • เรามอง TNP เป็นหุ้นค้าปลีกขนาดเล็กที่ยังมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside เกิน 10% จากกรอบราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 40-4.80 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 21-23x) และล่าสุดบริษัทประกาศจ่ายเงินปันระหว่างกาลจากกำไรช่วง 2H65 หุ้นละ 0.045 บาท (XD 14 มี.ค. 66) คิดเป็น Div. Yield ราว 1.1% (หากรวมเงินปันผลที่จ่ายไปแล้วในช่วง 1H65 อีกหุ้นละ 0.035 บาท จะทำให้จ่ายเงินปันผลรวมปี 2565 ที่หุ้นละ 0.08 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 2.0% ตรงตามที่เราคาดไว้) ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “หาจังหวะซื้อ” เพื่อรับกำไรที่กลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อแย่กว่าคาด, แผนขยายสาขาต่ำกว่าคาด
21/02/2023 NER ก่อนไปคิดอะไร
  • ปี 2566 มีเป้าหมายการเติบโตอย่างไร หลัง 4Q65 NER มีกำไรสุทธิ 368 ลบ. ลดลง 39.1%YoY และ 30.4%QoQ แย่กว่าคาด สาเหตุจาก 1) ยอดขายแย่กว่าคาด เนื่องจากปริมาณขายยางที่ 1.37 หมื่นตัน เพิ่มขึ้น 28.5%YoY และ 11.0%QoQ ถูกหักล้างด้วยราคาขายเฉลี่ยที่ 51.54 บาทต่อ กก. ลดลง 8.4%YoY และ 11.6%QoQ จึงทำให้ยอดขายโตเพียง 17.7%YoY และลดลง 1.9%QoQ และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงอยู่ที่ 10% จาก 4Q64 ที่ 14.4% และจาก 3Q65 ที่ 13.4% หลังราคาขายลดลงเร็วกว่าต้นทุนวัตถุดิบ ทั้งนี้ปี 2565 NER มีกำไรสุทธิ 1,748 ลบ. ลดลง 5.5%YoY และประกาศจ่ายเงินปันระหว่างกาลจากกำไรช่วง 2H65 หุ้นละ 31 บาท (XD 20 เม.ย. 66) คิดเป็น Div. Yield ราว 5.3%

หลังไปได้อะไร

  • ผู้บริหาร NER ตั้งเป้าปี 2566 จะมีปริมาณขายยางราว 5.0 แสนตัน เติบโต 12%YoY แรงหนุนจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทยังมุ่งขยายตลาดฐานลูกค้าใหม่ในยุโรป สหรัฐฯ และอินเดีย ซึ่งคาดจะหนุนคำสั่งซื้อยางให้เติบโตได้ ส่วนราคาขายยางคาดจะทยอยปรับตัวดีขึ้นจาก พ.ย. 65 และจะไปอ่อนตัวอีกครั้งใน 4Q66 ตามผลฤดูกาล ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะใกล้เคียง 2H65 ที่ 11-12%
  • บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังผลิตปีนี้อีก 5 หมื่นตันที่โรงงานเดิมแห่งที่ 2 และจะก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ซึ่งมีกำลังผลิต 1.728 แสนตัน ใช้งบลงทุน 700 ลบ. แหล่งเงินทุนจะมาจากกำไรสะสมและ CFO ซึ่งคาดจะเปิดดำเนินการใน 1Q67 ส่งผลให้สิ้นปี 2566 จะมีกำลังผลิตรวม 5.156 แสนตัน จากปี 2565 ที่ 4.656 แสนตัน และจะเพิ่มเป็น 6.884 แสนตันในปี 2567 ส่วนแผนจำหน่ายแผ่นปูรองปศุสัตว์ ปัจจุบันบริษัทนำกลับไปพัฒนาอีกครั้งเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าและแข่งขันด้านราคาได้มากขึ้น โดยตั้งเป้ารายได้ขายแผ่นปูรองปศุสัตว์ใน 1H66 เพียง 6 ลบ.

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • แม้ปี 2566 คาดปริมาณขายยางยังโต YoY จากอุปสงค์ที่ดีขึ้นตามการเปิดประเทศของจีนและความต้องการยางรถ EV รวมทั้งบริษัทหาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่ม แต่มาร์จิ้นคาดชะลอตัวตามราคายางที่แนวโน้มลดลง YoY (ม.ค.-ก..พ. 66 ราคายางลดลง 15-20%YoY) และยังมีต้นทุนการเงินสูงกว่าคาดจากการออกหุ้นกู้เพื่อล็อกต้นทุนดอกเบี้ย ดังนั้นเพื่อยึดหลักระมัดระวังเราจึงขอปรับลดประมาณการ โดยปี 66 คาด NER จะมีกำไรสุทธิ 1,887 ลบ. เติบโต 8%YoY
  • ภายใต้ประมาณการใหม่ กรอบราคาเป้าหมายปี 66 อยู่ที่หุ้นละ 60-6.10 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER เดิมที่ 5.5-6.0 เท่า) พบว่าไม่มี Upside แล้ว อีกทั้ง 1Q66 คาดกำไรปกติจะอ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล (4Q ปริมาณขายดีสุด) และลดลง YoY ตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง YoY ซึ่งทำให้ขาดปัจจัยกระตุ้นราคา กลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นจึงแนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรไปก่อน
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ ความผันผวนของราคายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน, การแข็งค่าของเงินบาท
09/02/2023 KCE ก่อนไปคิดอะไร
  • KCE ประกาศกำไรสุทธิ 4Q65 ลดลง 6% QoQ มาอยู่ที่ 500 ล้านบาท ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 22% หลักๆ เป็นผลมาจากปริมาณขายแผงวงจร PCB ที่ลดลง 11.8% QoQ หลังจากลูกค้ากังวลสภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า กดดัน Gross Margin ลดลงมาต่ำสุดในรอบหลายไตรมาสที่ 21.1% ใน 4Q65

หลังไปได้อะไร

  • แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 1Q66 คาดว่าจะอยู่ในทิศทางที่ลดลง QoQ (Gross margin คาดว่าจะต่ำกว่า 20%) ผลจากค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นในช่วง 4Q65 ทำให้ KCE ต้องซื้อวัตถุดิบในราคาสูง ซึ่งจะกระทบ Gross margin โดยรวม แต่ชดเชยได้บางส่วนจากปริมาณขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ โดยทางผู้บริหารมั่นใจว่า Gross margin จะกลับขึ้นมาดีขึ้นได้ตั้งแต่ 2Q66 เป็นต้นไป จากแนวโน้มค่าเงินที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ดังนั้นเราจึงคาดว่ากำไร 1Q66 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี
  • ผู้บริหาร KCE ประเมินรายได้จะเติบโต 4-6% ในปี 2566 จากแนวโน้มปริมาณความต้องการแผ่นวงจร PCB ที่เพิ่มขึ้น (ลูกค้ามีคำสั่งซื้อล่วงหน้ามากกว่า 10%) ซึ่งเรามองว่าเป็นไปได้ เนื่องจากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์ในยุโรปในเดือนม.ค. 2566 อาทิ ฝรั่งเศส (+9% YoY) อิตาลี (+19% YoY) นอกจากนี้สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศยุโรปคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในยุโรปจะเพิ่มขึ้น 5% yoy ในปี 2566 จาก Pent-up demand และคลายกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย หลังจากสถานการณ์วิกฤตพลังงานเริ่มคลี่คลาย ขณะที่ KCE เริ่มมีการเจรจากับซัพพลายเออร์ในการปรับลดค่า Supplement ลงในปีนี้ประมาณ 2-3 รอบ ก็ช่วยชดเชยการปรับลดราคาสินค้าให้กับลูกค้าที่มาเจรจาได้ระดับหนึ่ง (ลดลงประมาณ 1-2%)

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ KCE ในระยะกลางถึงยาว โดยจุดเด่นของ KCE คือเป็นผู้ผลิตแผงวงจรรายใหญ่ TOP10 ของโลก ให้กับผู้ผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในประเทศยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลบวกจากปริมาณความต้องการแผงวงจรในรถยนต์เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังมีส่วนประกอบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (ที่ต้องใช้แผงวงจร) ต่อคันมากกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไปประมาณ 3-6 เท่า ด้วยเหตุนี้ KCE จึงมีแผนขยายการผลิตครั้งใหญ่ โดยเพิ่มกำลังการผลิตการผลิตแผงวงจรชนิดพิเศษที่มี margin สูงอีก 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือน (จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 6 ล้านตารางฟุตต่อเดือน) คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วง 2H67 ซึ่งจะเป็นการสอดรับกับปริมาณความต้องการแผงวงจรซับซ้อนสำหรับรถยนต์ที่เติบโตมากในอนาคต
  • ความเสี่ยง เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงมากขึ้น และสงครามความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการแผงวงจร PCB โดยรวม
  • ราคาหุ้น KCE ปรับฐานลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง เราแนะนำหาจังหวะเข้าซื้อที่ราคาระหว่าง 45-50 บาท (-1SD PE 2566 = 47 บาท) โดยเฉพาะช่วงรายงานผลประกอบการ 1Q66 ที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี คาดว่าแนวโน้มจะกลับเติบโตดีอีกครั้งตั้งแต่ 2Q66 จาก Pent-up demand และคาดว่าจะดีต่อเนื่องไปถึงปี 2567 ที่มีการขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่
  • เราให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ฐาน PER ที่ 30 เท่าซึ่งเท่ากับ mean ในรอบ 5 ปีของ KCE ได้ราคาเป้าหมาย 61.00 บาทต่อหุ้น
09/02/2023 AU ก่อนไปคิดอะไร
  • อยากทราบถึงทิศทางผลการดำเนินงาน 4Q65 หลังราคาหุ้น AU ปรับขึ้นแล้วกว่า 9% นับตั้งแต่เราออกบทวิเคราะห์ครั้งแรก (30 พ.ย. 65) ซึ่งมองเริ่มสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทซึ่งคาดจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

หลังไปได้อะไร

  • บริษัทเผย 4Q65 ยอดขายรวมมีแนวโน้มโตเด่น YoY จากมีฐานต่ำปีก่อนซึ่งได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ (ยอดขายสาขาเดิมคาดโตอย่างน้อยราว 20%YoY) ส่วนยอดขายรวมที่โต QoQ มาจากปัจจัยฤดูกาลหลังเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลอง ขณะที่แผนขยายสาขาปี 2565 เป็นไปตามเป้า โดย 4Q65 เปิดสาขา 5 แห่ง (พิษณุโลก, ขอนแก่น, terminal พระราม3, ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์และสนามบินสุวรรณภูมิ) และ ธ.ค. 65 เปิดสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวที่ปิดรีโนเวทใน 3Q65 อีกทั้งเปิด After You Marketplace ที่ Cosmo Bazaar Lifestyle Mall
  • บริษัทยังตั้งเป้าปี 2566 ยอดขายรวมเติบโต 25%YoY สู่ระดับ 1.2 พันลบ. กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 แรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและการรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ ซึ่งปีนี้มีแผนขยายสาขาร้าน After You ทั้งรูปแบบปกติ 5-6 สาขา, รูปแบบ Marketplace 15-20 สาขา รวมทั้งแฟรนไชส์แบรนด์ After You ในต่างประเทศ 3 สาขา (ฮ่องกงสาขาที่ 2 ใน 1H66 และอีก 2 แห่งแถบเอเชียใน 2H66) และแบรนด์ Mikka ในไทย 100 สาขา

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • 4Q65 คาดมีกำไรสุทธิราว 34 ลบ. แต่หากไม่รวมการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับโบนัสของพนักงานในไตรมาสนี้ราว 5 ลบ. คาดจะมีกำไรปกติทำสถิติสูงสุดของปีนี้ที่ราว 39 ลบ. เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ จาก 3 ลบ. ใน 4Q64 และเติบโต 17%QoQ ตามผลฤดูกาล ทั้งนี้การเติบโตของกำไรปกติ YoY เกิดจากมีฐานกำไรต่ำปีก่อน อีกทั้งไตรมาสนี้ยอดขายรวมยังโตดีจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการจำนวนมากและยังรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น
  • เรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดปี 2565 AU มีกำไรปกติ 122 ลบ. เพิ่มจากปี 2564 ที่มีกำไร 4 ลบ. ขณะที่ปี 2566 คาดกำไรปกติเพิ่มเป็น 190 ลบ. (+56%YoY) และแตะ 237 ลบ. (+24%YoY) กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2567 แรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมหลังกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติ การออกสินค้าใหม่และการรับรู้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากขยายสาขาเชิงรุก ส่วนมาร์จิ้นคาดดีขึ้นหลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากมีสาขาจำนวนมากและการกลับมาทานที่ร้านมากขึ้น (มาร์จิ้นทานที่ร้านดีกว่าซื้อกลับและ Delivery)
  • เรามอง AU เป็นหุ้นเล็กที่มีศักยภาพเติบโตดีและกำไรจะกลับเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง โดยปี 66-70 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 25% ซึ่งยังมี Upside Risk จากการที่นักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยได้เร็วกว่าคาด (เดิมคาดจีนเปิดประเทศ 2H66) ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายปี 2566 ที่หุ้นละ 13 บาท (วิธี DCF ซึ่งหากคิดเป็น PEG จะอยู่ที่ 1 เท่า) และคาดจะกลับมาจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้งจากกำไรปี 2565 อีกอย่างน้อย 0.07 บาทต่อหุ้น (ปีก่อนงดจ่ายปันผล) คิดเป็น Yield ปีละ 0.6% ทั้งนี้เทคนิคมีแนวรับ 11.60/11.30 บาท
  • ความเสี่ยงสำคัญ คือ การขยายสาขาและแฟรนไชส์ต่ำกว่าคาด, ธุรกิจร้านขนมหวานและร้านกาแฟแข่งขันสูง, ความเสื่อมนิยมในตัวสินค้า และ/หรือ กระแสดูแลสุขภาพที่มีมากขึ้น
03/02/2023 SNNP ก่อนไปคิดอะไร
  • ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจากการออกบทวิเคราะห์ครั้งล่าสุของเรา ราคาหุ้นมีการปรับเพิ่มขึ้น 27% คาดสะท้อนทิศทางผลประกอบการของ 4Q65 ที่เราเคยคาดไว้ว่าจะทำ New High ได้ที่ 157 ล้านบาทจากการฟื้นตัวของยอดขายและอัตราการทำกำไรขั้นต้น

หลังไปได้อะไร

  • แนวโน้มการทำกำไรของ 4Q65 และปี 2566 มีโอกาสทำได้ดีกว่าคาดเดิมเนื่องจากต้นทุนหลักหลายรายการเริ่มมีแนวโน้มที่ลดลง เช่น ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ของ Jele ที่ลดลงมากว่า 12% จากช่วง Peak ที่ต้นปี 2565 รวมถึงราคาแป้งและต้นทุนการขนส่ง

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • จากแนวโน้มของอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดีกว่าที่เราคาดไว้ เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิของปี 2565 เพิ่มขึ้น 1% เท่ากับ 525 ล้านบาท (+20% YoY) ทำจุดสูงสุดใหม่ โดยคาดว่าใน 4Q65 SNNP จะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 162 ล้านบาท (+34% YoY และ +14% QoQ) รายได้คาดยังทำได้แข็งแกร่งที่ 1,599 ล้านบาท (+32% YoY และ +9% QoQ) โดยมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศที่ 75% ต่างประเทศที่ 25% ยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศใน คาดเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ โดยยอดขายจาก 2 ประเทศหลักที่ SNNP มีโรงงานตั้งอยู่คือ เวียดนาม และกัมพูชา อัตราการทำกำไรขั้นต้นคาดฟื้นตัวเท่ากับ 3% ฟื้นตัวจาก 27.3% ใน 3Q65
  • เราคาดว่าทิศทางของต้นทุนหลักในปี 2566 โดยเฉลี่ยจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเรามีการปรับลดต้นทุนและคาดว่าอัตราการทำกำไรขั้นต้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 8% จากประมาณการเดิมที่ 27.5% โดยคาดว่าแนวโน้มของอัตราการทำกำไรขั้นต้นใน 2H66 จะดีกว่า 1H66 เมื่อโรงงานใหม่ในประเทศเวียดนามผลิตเต็มกำลังทุกสินค้าครบโดยคาดว่ากลุ่มเบนโตะจะเริ่มผลิตช่วง 2Q66 และกลุ่ม Jele เริ่มผลิตใน 2H66 ซึ่งการผลิตในเวียดนามมีต้นทุนวัตถุต่ำกว่าและการทำการตลาดแบบ Mass Product คาดจะหนุนยอดขายและส่งผลให้ในระยะยาวอัตราการทำกำไรดีขึ้น
  • ดังนั้นเราคาดรายได้ของปี 2566 คาดรายได้ 6,260 ล้านบาท (+13% YoY) โดยสัดส่วนรายได้จากในประเทศ : ต่างประเทศจะปรับเป็น 30:70 เมื่อโรงงานเวียดนามผลิตครบทุนกลุ่มสินค้า และกำไรสุทธิจากการปรับประมาณการแล้วคาดที่ 692 ล้านบาท (+30% YoY) ทำจุดสูงสุด
  • ความเสี่ยง การบริหารต้นทุน ความผันผวนของค่าเงิน
  • เราคงคำแนะนำ ซื้อ โดยเราใช้สมมติฐาน PER ที่ 5 เท่า (+1SD) ราคาเป้าหมายปี 2566 เท่ากับ 25.50 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 23.10 บาท/หุ้น และเราคาดหวังที่เห็นการเปิดธุรกิจเสริมอาหารในปี 2566 เพื่อต่อยอดการเติบโตรวมไปถึงการเติบโตของตลาดต่างประเทศ
19/01/2023 SECURE ก่อนไปคิดอะไร
  • แนวโน้มผลประกอบการ 4Q65 จะเป็นอย่างไร ภายหลังจากที่ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าในช่วงปลายปี 2565 รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการและกลยุทธ์ทางธุรกิจในปี 2566 และสถานการณ์ Chip shortage ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

หลังไปได้อะไร

  • เราคาดกำไรใน 4Q65 อยู่ที่ 15 ล้านบาทเติบโต 3% QoQ และ 25.6% YoY โดยถือว่าเป็นจุดสูงสุดของปี 2565 โดยปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการไตรมาสนี้มาจาก การฟื้นตัวของรายได้ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 240 ล้านบาท เติบโต 17.5% QoQ และ 19% YoY ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ Chip shortage ที่เริ่มดูดีขึ้นทำให้ปริมาณงานส่งมอบให้ลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของ Gross margin นั้นคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 17% จาก 14.2% ใน 3Q65 จากการที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจาก Bt37.8/US$ สู่ระดับ Bt34.6/US$ ทำให้ต้นทุนในการซื้อสินค้าลดลง ในส่วนของ SG&A ค่อนข้างที่จะทรงตัว QoQ และ YoY อยู่ที่ระดับ 22 ล้านบาท โดยถ้าเราคาดการณ์ถูกกำไรปี 2565 จะอยู่ที่ 40.4 ล้านบาท ลดลง 36.3% YoY ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 33 ล้านบาท โดยงบจะประกาศในวันที่ 22 กุมภาพันธ์
  • ในปี 2566 นั้นทางผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ที่ 1 พันล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากสถานการณ์ Chip shortage ที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากการเปิดประเทศของประเทศจีน ในส่วนของความต้องการด้าน Cybersecurity ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในปี 2566 บริษัทมีกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพิงสินค้าด้าน Cybersecurity ที่เป็น Hardware โดยจะเน้นสินค้าที่เป็น Software มากขึ้น โดยเป้าหมายรายได้ปี 2566 ของบริษัทสูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 918 ล้านบาท โดยเราคาดการณ์กำไรปี 2566 อยู่ที่ 58 ล้านบาท เติบโต 77% YoY

ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน

  • ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น1% YTD ตามภาพการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่ม Tech ในสหรัฐรวมถึงแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทเองที่ดูดีขึ้น เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะยังมี Momentum เชิงบวกต่อเนื่องได้ เนื่องจากภาพรวมการฟื้นตัวของผลประกอบการ 4Q65 ดีกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลง YoY แต่ด้วยความที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วทำให้การฟื้นตัวของ Gross margin ทำได้ดีกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า
  • เรายังคงคำแนะนำซื้อที่ราคา 20-23 บาทต่อหุ้นอิง PE ที่ 35-40x ปี 2566
  • ความเสี่ยงคือสถานการณ์ Chip shortage รวมถึงค่าเงินบาทถ้ากลับมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วอีกครั้งจะกระทบในส่วนของ Gross margin ของบริษัท